วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องที่ แฟนคลับอยากเห็น 1


อาจจะเป็นเพราะแอนดริวเลือกละครยากมาก กว่าจะตกลงใจสักเรื่อง
แฟนคลับรอรอ อยู่นาน ...นาน...นาน
และอยากจะหาวัตถุดิบให้แอนดริว
เป็นทางลัดในการคิดตัดสินใจ รับ หรือ ทำเอง
ก็ให้แอนดริวได้รู้ว่าแฟนๆๆอยากดูอะไร
อยากให้แอนดริวรับบทแบบไหน
นิยายเล่มไหนเรื่องไหนที่เหมาะกับแอนดริว
ในสายตาแฟนคลับมที่เป็นมุมมองของผู้หญิง ซะส่วนใหญ่
เป็นคนนั่งดูตัวจริง



คนแรกที่เข้ามาแนะนำเรื่องคือ


violin IP: 180.183.48.59 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:2:17:07 น.



คิดว่าอยากเห็นคุณแอนดริวเล่นละครรีเมค เรื่องผู้ชนะสิบทิศ เพราะเห็นว่าคุณแอนดริวเล่นบทเลิฟซีนได้พริ้ว ถ้าจะเล่นบทผู้ชายเจ้าชู้กลุ้มกลิ่มน่าจะเหมาะ ความเห็นส่วนต้วของviolin คิดว่ารูปร่างหน้าตาและกิริยาเป็นคนมีเสน่ห์เหมาะที่จะเล่นบทผู้ชายเจ้าชู้ ผู้หญิงเมืองไหนได้เห็นก็จะรักและหลง และบุคลิกของเขาส่วนนึงมีความเป็นผู้นำน่าเกรงขาม....น่าจะเหมาะกับเรื่อง แนวนี้...ถ้ามีใครทำละครเรื่องใหม่ที่ไม่ใช่เรื่องนี้ก็ลองเอาแนวอย่างนี้ไป พล็อดเป็นเรื่องใหม่ก็ได้ เพราะเห็นเล่นเรื่องมงกุฎแสงจ้นทร์ที่มีเมีย 3 คน ถ้าเรื่องแนวนี้มีเมียเป็น 10 เลยถือซะว่าคุณแอนดริวคืนกำไรให้กับ FC 555 (ล้อเล่นค่ะ)

อีกเรื่องนึงอยากเสนอแต่คิดว่าคุณแอนดริวไม่รับ เล่นหรอกคือเรื่องรักเร่ของโสภาค สุวรรณเป็นผู้แต่ง ในเรื่องอยากให้คุณแอนดริวเป็นนิโคไลด้วยรูปร่างหน้าตาเหมาะมากในเรื่องเป็น ผู้ชายที่เสียสละ อ่อนโยน เป็นคนเก่งแต่ว่าไม่ใช่พระเอกแต่เป็นต้วเด่นของเรื่อง โดยความเห็นส่วนตัวแล้วนิโคไลเหมาะกับคุณแอนดริวมากกว่านักแสดงคนอื่น ๆเนื่องจากหน้าตา บุคลิกตุณแอนดริวเหมาะมาก ๆค่ะ

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000



โดย: วินนี่ย์หมีพูห์ วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:14:41:58 น.


คยคิดเล่นๆนะ ถ้าตัวเองมีความสามารถขนาดเป็นผู้จัดละครได้ อยากให้พระเอกเป็นแบบไหน แม้หมวยจะชอบละครตบ-จูบ drama อย่าง"ทางผ่านกามเทพ" แต่หมวยก็อยากให้พระเอกในละครมีนิสัยแบบ "พ่อผู้ใหญ่ลี" มากที่สุด ไม่ใช่ว่า ดริวจะต้องเป็นชาวนานะ หรือ ต้องพูดเหน่อนะ มีอาชีพอะไรก็ได้ แต่ อยากให้เป็นพระเอกที่เป็นตัวอย่างที่ดีกับคนดู โดยเฉพาะเด็ก และ เยาวชนได้ นิสัยแบบผุ้ใหญ่ลีดียังไง หมวยว่า ผุ้ใหญ่ลี version ล่าสุด คนเขียนบทเขียนบทได้น่ารักมากๆ หมวยจึงฝันนะ อยากให้พระเอกละคร มีนิสัยแบบนี้ "เป็นสุภาพบุรุษ ให้เกียรติผุ้หญิง รักเดียวใจเดียว ฉลาด เจียมตัว รักความถูกต้อง กล้าหาญ อดทนต่ออุปสรรค กตัญญูและ พอเพียง" จริงๆนะ อยากเห็นพระเอกแบบนี้ในละครเยอะๆ เพราะ ถ้าบทละครดีๆ ละครสนุก พระเอกเรื่องนี้ ก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชนชายไทยได้เยอะแยะ มีลูกชาย ก็อยากให้ลูกมีนิสัยแบบนี้ เพราะ สมัยนี้ สังคมล่อแหลมมากๆ แม้จะเป้นแค่พระเอกในละคร ก็มีโอกาสได้ช่วยสังคมได้

ดังนั้น หมวยไม่เจาะจง จะเป้นพระเอกละครที่สร้างจากนิยายเรื่องไหนก็ได้ แต่หมวยอยากได้พระเอกที่มีนิสัยอย่างที่ว่าไป

แต่ ถ้าถามว่า ในส่วนนิยาย พระเอกคนไหนที่หมวยชอบที่สุด หมวยชอบคนนี้ที่สุด "คุณเข้ม" แห่ง "ปุลากง" บทประพันธ์ของโสภาค สุวรรณ แต่เดิม หมวยคิดว่า ตัวเองชอบนิยายที่พระเอก นางเอก กุ้กกิ้กกันเยอะๆ แต่พอได้อ่านเรื่องนี้ กลับหลงรักผุ้ชายอย่างคุณเข้มมากๆ หมวยอ่านหลายรอบแล้ว ไม่รู้ซิ ผุ้เขียนเขียนได้ดีมาก แม้พระเอก-นางเอกจะแทบไม่ได้อยู่ด้วยกัน เจอกันน้อยมาก แต่แค่คำบรรยายเวลาที่พระเอกนึกถึงนางเอก นางเอกนึกถึงพระเอก หมวยอ่านแล้วอิน เลยชอบมากเรื่องนี้ อ่านหลายรอบแล้ว แต่ดริวเหมาะมั้ยที่จะเป็นคุณเข้ม อ่านเรื่องนี้แล้ว ไม่เคยนึกถึงดริวเลย กลับนึกถึง "พีท ทองเจือ" ไปซะ

"คุณลักษม์" ใน "ค่าของคน"แม้ว่าจะมีนิสัยที่ต่างจากพระเอกในอุดมคติของหมวยอย่างที่บอกไว้ ข้างต้น แต่คิดๆไป ถ้าดริวได้แสดงเป็น "คุณลักษม์" ก็น่าจะเป็นอีกบทหนึ่งที่ท้าทาย

"หมอรุจ" ใน "เคหาสน์สีแดง" เคยจินตนาการให้ดริวเป็นหมอรุจเมื่ออ่านเคหาสน์สีแดงเมื่อปีที่แล้ว พอรุ้ว่า เป่าจินจงจะสร้าง เลยเคยไปเสนอให้เป่าฯ มอบบท "หมอรุจ" ให้ดริว แต่ตอนนี้ ไม่อยากให้ดริวเล่นแล้ว เพราะ มงกุฎแสงจันทร์ที่เป่าฯสร้าง น่าผิดหวังมากๆ

"พ่ออาทิตย์" ใน "แรงรัก" คนนี้ก็ดูห่างจากนิสัยพระเอกในอุดมคติของหมวย แต่ก็อยากให้ดริวเล่น ดังนั้น ถ้า boardcast เสนอบทนี้ให้ดริว ไม่อยากให้ดริวปฏิเสธเลยจริงๆ

เอา แค่นี้ก่อน เพราะ นึกไม่ออก เนื่องจากนิยายที่หมวยเคยอ่าน ส่วนมากเป้นเรื่องที่ไม่น่าจดจำ เพราะ มันตบ-จูบซะเยอะ เลยนึกออกแค่นี้ ถ้ามีอะไรเพิ่ม จะมาเขียนใหม่

หมวยนะ ชอบคุณเข้มที่สุดเลย


ความเห็น ศรกล

เรื่องปุลากงที่หมวยเคยพูดถึงเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสมัย
เรียน ม.4 และเป็นนิยายที่ชอบมากที่สุด เพราะไม่
ค่อยอ่านนิยาย มีเรื่องนี้แหละค่ะ ที่อ่านหลายรอบ
มาก ชอบการบรรยายของผู้แต่ง ผู้แต่งบรรยาย
จนเห็นภาพชัดเจนมากและอินเหมือนจะเข้าไปอยู่
ในบรรยากาศของเรื่องเลย ตอนอ่านตอนนั้นไม่ได้
คิดถึงคุณเข้มเป็นแอนดริว เพราะตอนนั้นยังไม่ได้
ชอบแอนดริว




000000000000000000000000000000000000000


โดย: heather IP: 118.173.182.70 วันที่: 23 มกราคม 2553 เวลา:16:14:51 น.

เรื่องแรก=ปราสาททรายในสายฝน โดย ดวงตะวัน
พระเอก = เจ้าพ่อ นางเอก=นักโบราณคดี
(กรี๊ดมากกกกกกกกกก)

เรื่องย่อ

โอ จาเป็นเมืองคนเถื่อนในสายตาของผู้คนจากแดนอื่น โดยเฉพาะผู้คนจากเมืองศิวิไลซ์อย่างอลากาส แต่ใครจะรู้..ผู้คนแห่งเมืองคนเถื่อนนับถือน้ำมิตรเสียยิ่งกว่าสิ่งใด

ตรี ดามาส - - หญิงสาวที่เกิดในคืนฝนพรำ นักโบราณคดีสาวไฟแรงจากอลากาส เมืองหลวงของธิโมส์ ได้รับคำสั่งด่วนให้เดินทางไปยังเมืองคนเถื่อน โอจาหรืออลันจาในอดีต เพื่อสืบค้นหาร่องรอยของแผ่นศิลาหักที่มีตัวอักษรธิมาส์โบราณสลักเอาไว้ แผ่นหินที่เชื่อกันว่า เป็นสิ่งที่จะนำทางไปสู่ กีระดารา ซึ่งยังคงเป็นปริศนาสำหรับนักโบราณคดีทุกยุคทุกสมัย ตรีดามาสเองก็ปรารถนาที่จะไขความลับนั้นให้กระจ่างแจ้ง...

แบลค - - เจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลหนึ่งเดียวแห่งเมืองคนเถื่อนที่มีตำแหน่งเป็นถึง บี... บีแบลค เจ้าของพื้นที่ซึ่งค้นพบแผ่นศิลาหักนั่น แม้ไม่เต็มใจที่จะให้กลุ่มนักโบราณคดีเข้ามาขุดค้นในพื้นที่เพื่อศึกษาและหา ร่องรอยเรื่องราวในประวัติศาสตร์ แต่เขากลับตอบตัวเองไม่ได้ว่าเพราะเหตุใด หรือเพราะสิ่งใดกันแน่ที่ทำให้เขาไม่คัดค้านการทำงานของนักโบราณคดีกลุ่ม นี้...

ยิ่งวันที่กลุ่มนักโบราณคดีก้าวเข้ามาในชีวิตอันสงบสุขของบี แบลค ก็ยิ่งมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้น แม้จะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงแต่กลับเหมือนทุกเหตุการณ์จะถูกทำให้ เข้าใจว่าเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ทรงอิทธิพล "บีแบลค" และไม่มีทางเลยที่คนอย่างเขาจะนิ่งนอนใจ ขอเพียงได้รู้ชัดว่าทุกสิ่งมีที่มาที่ไปอย่างไร เขาจะไม่รอช้าที่จะจัดการให้ลุล่วงด้วยวิธีและวิถีของคนเถื่อน.. ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของหัวใจ


+++ เรื่องนี้พระเอกอย่างเท่เลยค่ะ เป็นเจ้าพ่อ มีบู้ และมีแอบหวาน เจ้าเลห์ อบอุ่นและรักนางเอกมากมาย


นางเอกที่เหมาะ คิดว่าน่าจะเป็นชมพู่ อารยา ค่ะ


___________________________***************______________________

อีกเรื่องนะคะ


ดอกไม้และสายลม โดย ดวงตะวัน

เรื่องนี้พระเอกเป็นเจ้าของสวนดอกไม้ค่ะ นางเอกเป็นนางแบบสาวสวยจอมหยิ่ง

เรื่องย่อ


หลัง เหตุการณ์ประลองอำนาจของกลุ่มผลประโยชน์สองกลุ่มคือกลุ่มบันทรีและกลุ่มเคเช รี นางแบบสาวไฮโซอย่างซอร่าซึ่งเป็นลูกครึ่งเคเชรี จำต้องหลบลี้ภัยเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในคาเรนา ดินแดนตอนกลางของธิโมส์

ซอร่าไปพักอยู่ที่บ้านหลังงามกลางสวนดอกไม้ของเรน

สาว ไฮโซผู้เย่อหยิ่ง เอาแต่ใจตัวเอง ปะทะกับเรน ชายหนุ่มผู้เรียบง่ายติดดิน ไม่เว้นแต่ละวัน ทว่าที่สวนดอกไม้กลางคาเรนานี่เองที่ทำให้ซอร่าได้ค้นพบตัวเอง ว่าที่ผ่านมาเธอมีชีวิตอยู่อย่างไร้ค่าเพียงใด

ไร้ค่าเพราะหัวใจเธอไร้รัก

หาก แต่สำหรับเรนแล้ว รักของซอร่าจะมีประโยชน์อันใดไม่ว่าหล่อนจะพร่ำพูดสักแค่ไหน และ...เขาเองจะรักหล่อนสักเพียงใด หากว่ารักนั้นทำให้ดินแดนคาเรนาต้องพินาศย่อยยับ เพียงเพราะเล่ห์กลทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ซึ่งซอร่านำติดตัวเข้ามา ด้วย

ดอกไม้อย่างเรน...จะต้านทานสายลมรักของซอร่าได้หรือไม่
และถึงที่สุดแล้ว แม่สายลมซอร่าจะปัดเป่าเรื่องราวร้ายๆให้พ้นไปจากสวนดอกไม้ของเรนได้หรือไม่


++++++

นางเอกที่คิดว่าเหมาะ ก็ชมพู่ อารยา อีกแล้วค่ะ 555

ทั้งสองเรื่องที่โมเสนอ เป็นงานเขียนของดวงตะวัน จะเป็นนิยายในเมืองสมมุติ แต่อยู่ในยุคปัจจุบันค่ะ

เนื้อหา ของทั้งสองเรื่องที่โมเสนอมา จะเล่นกับจิตใจของตัวละครค่ะ เป็นนิยายที่ให้ข้อคิดดีๆมากมายค่ะ ทั้งเรื่องมิตรภาพ ความเสียสละ และความรักที่สวยงาม ที่สำคัญหวานมากกกกกกกกกกกกกก 555



ควาเห็นเพิ่มเติมจาก

tewtew

อืม...เรื่องของน้องโมน่าสนใจมากค่ะ

"ปราสาททรายในสายฝน"
พี่ ว่าน้า...ไอ้บทบู้ และมีแอบหวาน เจ้าเลห์ อบอุ่นและรักนางเอกมากมายเนี่ย พี่ดริวเราผ่านฉลุยอยู่แล้วล่ะค่ะ แต่บทเจ้าพ่อผู้เทรงอิทธิพลนี่สิคะ ......ดริว..ไม่ค่อยน่าเกรงขาม และยังไม่สง่าผ่าเผยเท่าไหร่น้า พี่ว่าดริวต้องพัฒนาบุคลิกภาพตรงนี้อีกสักหน่อย...ถึงจะสอบผ่านน่ะค่ะ..แต่ ก็ไม่แน่นะ ดริวยังไม่เคยเล่นบทแบบนี้ อาจจะไปโดนใจพ่อพระเอกเทวดาของเราก็ได้..ใครจะไปรู้เนอะ..
นางเอกเป็นนักโบราณคดี แปลกดีค่ะ ชมพู่ก็โอนะคะดูเป็สาวมั่นดี เจนนี่ก็ได้นะ(ยังอยากจับคู่เค้าอีกซักเรื่องน่ะ)

"ดอกไม้และสายลม"
พระเอก เป็นเจ้าของสวนดอกไม้ อื้อหือ....คงจะคล้ายๆบทพี่อาทิจน่ะนะ เรียบง่าย ติดดิน อย่างนี้พี่ดริวเราถนัดแน่นอน และยังต้องมาปะทะคารมกับนางแบบสาวไฮโซเย่อหยิ่งอีก..ท่าทางก็น่าสนุกอีกนะคะ แต่บทแบบนี้พี่ว่ามันธรรมดาๆ ไปสำหรับดริวน่ะ แต่ก็นั่นแหละค่ะ อาจจะถูกใจหนุ่มดริวเราก็ได้ ใครจะไปรู้....
..สรุปว่านางเอกของดริวนี่ โมยกให้ชมพู่ คนเดียวเลยใช่มั้ยคะ
แต่ก็โอค่ะ อีกคนก็น่าจะเป็นริต้านะ สวย..เริสส..เชิด..หยิ่ง..ริต้าก็ทำได้ดีนะ






000000000000000000000000000000000000000000000000


โดย: auddy IP: 203.144.144.165 วันที่: 23 มกราคม 2553 เวลา:22:31:18 น.




เรื่องเรือนดอกรัก โดยดวงตะวัน

นางเอก - หยาด

ส้มลิ้ม กิมลั้ง สองศรีพี่น้องแห่งเรือนดอกรัก รวมทั้งพ่อสมบัติ ย่าสมจิตร กำนันจอม และใครต่อใครในชุมชนบางดอกรัก ต่างก็มั่นใจในความเป็นคนไทยของตัวเอง หากก็ไม่รู้สึกภาคภูมิใจอะไรนัก จนกระทั้ง วันที่ “ความเป็นไทยขายได้” ขายได้ อย่างที่เห็นในโฆษณาโทรทัศน์

แม้ จะเบื่อหน่ายบ้านเกิดอย่างเหลือแสน แต่ในเมื่อไม่มีงานทำ สาวส้มลิ้มจึงคิดแปลงสินทรัพย์ของบิดาให้เป็นทุน นั่นคือเปิดเรือนดอกรัก เรือนไทยเก่าแก่แสนงามที่อยู่ริมน้ำให้นักท่องเที่ยวมาพักค้างคืนและร่วมใช้ ชีวิตกับชาวบ้านเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่เรียกว่าโฮมสเตย์

แต่ ไลฟ์สไตล์ของสมาชิกในเรือนดอกรักน่ะ ห่างไกลจากชีวิตชาวไทยริมน้ำอันแสนสงบและแสนงามมาไกลโขแล้ว ส้มลิ้มและกิมลั้ง สองศรีพี่น้องจึงต้องจำลองบรรยากาศไทยแท้ๆ ทั้งการกิน การอยู่ ขึ้นมาตบตาหนุ่มเจ้าของบริษัททัวร์และบรรดานักท่องเที่ยว ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย และเรื่องร้าย เรื่องรัก ที่กระหน่ำเข้ามาเป็นระรอก

ส้มลิ้มรู้แล้วละว่า ความเป็นไทยน่ะขายได้ แต่มันก็มีราคาที่ต้องจ่าย แถมยังแพงเสียด้วยสิ

ส้มลิ้ม สาวชาวสวนที่ไม่เคยสัมผัสชีวิตชาวสวนเลย กลัวแม้แต่โคลน เคยแต่เดินพารากอน แต่เมื่อไม่มีงานทำเลยคิดจะทำโฮมสเตย์ ด้วยการสร้างความเป็นไทยจอมปลอม

เมืองไทย เจ้าของบริษัททัวร์ที่ต้องการพาลูกทัวร์สัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านที่แท้จริงเจ้าของสโลแกน “เที่ยวเมืองไทยไปกับเมืองไทยทัวร์”

เหตุผล ที่ควรสร้าง เพราะเรื่องนี้บอกถึงคุณค่าและภูมิใจในท้องถิ่น การใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น การพัฒนาที่ต้องปรับให้เหมาะกับท้องถิ่นของตัวเอง วิถีชีวิตของคนในชนบทที่นับวันความเจริญก็จะกลืนวัฒนธรรมท้องถิ่น


0000000000000000000000000000000

โดย: 421028 IP: 112.142.98.31 วันที่: 23 มกราคม 2553 เวลา:23:33:51 น.


เรื่อง “ปีกปรารถนา” นิยายเรื่องนี้ของดวงตะวัน มาด้วย แฮ่ๆ เพราะเราเลือกมานั่งอ่านใหม่อีกรอบทั้งคืนเลย อิอิ

“ปีก ปรารถนา” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตเพื่อความปรารถนาสูงสุดของคนเรา ว่าแท้จริงแล้วเราเกิดมาเพื่อจะใช้เวลาที่แสนสั้นในชีวิตทำอะไร...กอบโกยตัก ตวง ไขว่คว้าสิ่งที่สูงส่ง และดีที่สุด หรือทำความดีโดยไม่รีรอเวลาที่มีในชีวิต

เรื่องราวสั้นๆ... เป็นเรื่องของ “ปรารถนา” หรือ โกโก้ สถาปนิกสาวคนเก่ง และมีอีโก้สูงส่งมองไม่เห็นหัวใคร ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างมาก และเร็ว มีทั้งชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ มีชีวิตที่ราวกับจะบินได้เหนือคนอื่นก็ไม่ปาน แล้ววันหนึ่งเธอก็โดนเด็ดปีก งานที่เธอคาดหวัง ทุมเท และเชื่อมั่นถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี ในวันนั้นที่เธอสิ้นหวัง หมดแรง ท้อถอย มันกลับทำให้เธอได้เจอเพื่อนสมัยอนุบาลคนหนึ่งอย่างไม่คาดฝัน และการพบกันวันนั้นทำให้แรงปรารถนาในชีวิตเธอเปลี่ยนไป

“ปรมี” หรือครูปอ ครูใหญ่ของโรงเรียนอนุบาลพัฒนนิจศึกษา ที่เป็นมรดกตกทอดของแม่ ผู้ชายธรรมดาๆ ที่ดวงตามีแววใจดี ใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่เสมอ และมีกอดวิเศษไว้ให้กับเด็กๆ ทุกคนที่ร้องไห้ เพื่อนเก่าสมัยอนุบาลที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อพัฒนาโรงเรียนอนุบาลฯ และเด็กๆ ในชุมชนวัดแสงธรรมาด้วยการปูพื้นฐานการศึกษา และความดีให้เด็กๆ โดยมีความเชื่อมั่นว่าถ้าฐานมั่นคง แข็งแกร่งแล้ว ในวันข้างหน้าไม่ว่าจะเจอกับอะไรก็จะไม่วันหักโคล่นล้มลงง่ายๆ ได้

ใน ขณะที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มพัฒนา โกโก้ก็ได้รับมอบหมายงานชิ้นใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของบริษัท นั่นคือการออกแบบคอนโดริมน้ำที่อยู่บนที่ดินของโรงเรียนอนุบาลพัฒนนิจ และชุมชนวัดแสงธรรมา ซึ่งที่ดินผืนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อปรมี ที่แยกทางกับแม่ตั้งแต่ตอนเขาเด็กๆ โดยเป็นเจ้าของบริษัทที่โกโก้ทำงานอยู่ มีเรื่องราวหลายอย่างมากมายเกิดขึ้น ทั้งความลับ และรอยแผลที่ถูกเปิด...ทั้งความรักความเข้าใจที่หวนคืนมา


เรื่องนี้น้อง Bell_Belt ออกความเห็นเพิ่ม***********

ปรากฏว่าอ่านเรื่องเดียวกับคุณ 028 เลยค่ะ แฮ่ๆ อ่านหนังสือช้าไปหน่อยง่ะ

ชอบ เรื่องปีกปรารถนาเหมือนกันค่ะ มีการผูกเรื่องตัวละครทุกตัวดีมากค่ะ มีปมขัดแย้ง อ่านแล้วสนุกมาก (แอบร้องไห้ไปมากโขอยู่) เล่าถึงคนที่ต่างชนชั้นกันค่ะ คนที่คิดว่าจะต้องมีเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ แต่ในทางกลับกันคนบางกลุ่มเขาไม่แม้แต่จะคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย เพราะคิดอยู่แค่ว่าปากท้องในแต่ละวันจะทำให้มันผ่านพ้นไปได้อย่างไร พระเอกน่ารักมากค่ะ เป็นครูโรงเรียนอนุบาล ที่ทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้โรงเรียนที่เขารักมาก ต้องปิดตัวลงเพราะว่าจะมีคอนโดมาตั้งอยู่บนที่ดินผืนเดียวกับโรงเรียนค่ะ การสร้างคอนโดนอกจากจะทำให้โรงเรียนปิดตัวแล้วยังจะทำให้คนในชุมชนไม่มีที่ อยู่ด้วย ได้รับความเดือดร้อน (ซึ่งพระเอกของเรายอมไม่ได้ 555)

พระเอก เป็นคนธรรมดา เรียบง่ายมาก (เหมือนพี่ดริวเลยนะนี่) เป็นที่รักและที่พึ่งของคนในชุมชนค่ะ มีความอบอุ่นและความดีให้กับคนรอบข้างเสมอ แต่ว่าแอบมีปมลึกๆนะคะ แต่ไม่แสดงออก มีหลายอย่างที่พระเอกพูดแล้วโดนมากเรื่องนี้ เช่น เราก็อยู่ของเรามาได้แบบพออยู่พอกิน (อันนี้คุ้นๆไหมคะ ใครเคยพูดเอ่ย) หรือถ้าลองมองคนอื่นดูบ้างเราก็จะเห็นสิ่งที่แตกต่างออกไป

ส่วนนาง เอกเป็นสถาปนิกค่ะ ได้รับรางวัลสูงเกียรติที่สุดของสถาปนิก ตอนแรกเป็นคนที่อีโก้สูง เซลฟ์จัด ทะเยอทะทาน และไม่เห็นหัวใคร จนมีเรื่องราวที่ทำให้ผิดหวังและได้ไปเจอกับพรระเอก ทำให้เธอได้เห็นและเข้าใจอะไรในชีวิตมากขึ้นค่ะ

พระเอกนางเอกแบบกุ๊ก กิ๊กกันแบบเขินๆน่ะค่ะ มีอยู่อันนึงแบบว่าจั๊กจี้มากคือ พระเอกแอบคิดว่ายังเหลือหัวใจของตัวเองที่นางเอกยังไม่ได้เข้ามาสำรวจ อยากให้นางเอกเข้ามาสำรวจและวางผังให้ (เหอๆ น่ารักมาก)

คิดว่าน่าจะดีค่ะ มันมีเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นจริงของสังคมและความรักที่น่ารักดีน่ะค่ะ

ส่วนตัวนางเอกตอนแรกท่าเป็นคนที่ยังไม่เคยแสดงด้วยก็น่าจะชมพู่หรือพลอย แต่อ่านไปเรื่อยๆ มันน่าจะเป็นเชอรี่มากกว่าค่ะ

แต่ว่ามันซ้ำกับของคุณ 028 แล้วน่ะ เด๋วเบลล์หาเรื่องใหม่มาเสนออีกดีกว่าค่ะ (อ่านหนังสือช้าก็เป็นอย่างนี้แหละหนา เหอๆ)



ความเห็น ศรกล

ชอบมากที่สุด ชอบเรื่องปีกปรารถนา ที่คุณ028 และคุณ
Bell_Belt บอก โดยเฉพาะชอบตรงที่คุณ028 บรรยาย อยาก
เห็นแอนดริวกอดเด็ก ๆ จังเลย ยังไม่ลืมความประทับใจที่พ่อ
ชรัญกอดน้องแพรเลยค่ะ


00000000000000000000000000


โดย: ปลาทอง IP: 203.144.144.164 วันที่: 24 มกราคม 2553 เวลา:20:07:02 น.


เรื่อง ปราสาททรายในสายฝน สนุกมากค่ะ แต่ปลาทองขอนำเสนอ “ณ. ที่ดาวพราวพร่างรัก” จากดวงตะวันละกันนะคะ

เรื่องย่อ (ยาวนิดนึงนะคะ ขออภัยไว้ก่อนเลย)

ธิ โมส์ เมืองสมมติ มีชนชั้นปกครองคือตระกูล ครีราโมส์ ซึ่งมีอยู่สองสายคือ สายที่สืบเชื้อสายมาจาก ปันต์เรทัต ครีราโมส์ และสายที่สืบทอดมาจาก อินทัต ครีราโมส์ เดอะเซคคั่นคิง ผู้มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 3 พันปีที่แล้ว เป็นที่เชื่อกันว่า ทั้งปันต์เรทัต และ อินทัตเป็นฝาแฝดที่มีอุปนิสัยและบุคคลิกต่างกันราวกับเฮกัลและฮูตูร์ (เทพเจ้าสูงสุดของธิโมส์)

ปันต์เรทัต ผู้มีบุคลิกน่าเกรงขาม สุขุมนุ่มลึก ในขณะที่อินทัต ดุดันเกรี้ยวกราด พร้อมที่จะใช้กำลังเข้าห้ำหั่นต่อสู้เพื่อสิ่งที่ต้องการ ครีราโมส์ทั้งสองสายต่างผลัดเวียนขึ้นปกครองธิโมส์ตลอดระยะเวลา 3 พันกว่าปีที่ผ่านมา

จนกระทั่งเมื่อ 25 ปีก่อน ขบวนการปลดปล่อยธิโมส์นำโดยพวกชาวีย์ ชนเผ่าทางตอนเหนือของธิโมส์ได้ทำการปฎิวัติสำเร็จ โค่นล้มอำนาจของครีราโมส์ลงอย่างเด็ดขาด นำธิโมส์เข้าสู่การปกครองแบบประชาธิปไตย และทำให้คนในตะกูลครีราโมส์ต้องพากันหนีตาย หลบหนีออกนอกประเทศ หนึ่งในนั้นคือ ราวัต ครีราโมส์และครอบครัว( เชื้อ “เจ้า”สาย อินทัต) ราวัตพาภรรยา และลูกชายฝาแฝด “อินทัต” และ “มาริศ” ลี้ภัยออกนอกประเทศ ทิ้งลูกสาวแรกเกิด อายุ 3 วันไว้ในวังกับแม่นม

ณ. เวลาปัจจุบัน ธิโมส์ ได้กลายมาเป็นประเทศ “ประชาธิปไตย” มานานพอสมควร พวก “เจ้า” ทั้งหลายต่างพากันทยอยกลับบ้านเกิด รวมทั้งครอบครัว ราวัต ครีราโมส์ ซึ่งบัดนี้นี้มีสมาชิกเหลืออยู่คือ ราวัต อินทัติ มาริศ และเอลัน (น้องสาววัย 3 ขวบที่ถูกทิ้งไว้ที่วัง)

เหมือนประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เจ้าชายอินทัต (แฝดคนพี่) มีบุคลิกเหมือนปันต์เรทัต ในขณะที่ มาริศ (แฝดคนน้อง) แทบจะถอดแบบ “คิงอินทัต” มาไม่ผิดเพี้ยน หัวดื้อ ขบถ จอมวางแผน หาก เจ้าชายอินทัตเป็น “ลูกรัก” เจ้าชายมาริศก็เป็น “ลูกเกลียด” อย่างไม่ต้องสงสัย ราวัต มีปมฝังใจว่า ที่คีราโมส์ เชื้อสายเอลันตรา (สายคิงอินทัต) ไม่ยิ่งใหญ่ เป็นที่จดจำของใครๆ เหมือน ครีราโมส์สายปันต์เรทัต เนื่องจากเพราะคิงอินทัตเป็นน้อง ศักดิ์และสิทธิ์จึงด้อยกว่า ทำให้พาลไม่ชอบ ไม่รัก ลูกชายฝาแฝดคนน้อง และฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่แฝดผู้พี่ เจ้าชายอินทัต (รวมทั้งความหวังในการกอบกู้ความยิ่งใหญ่ของครีราโมส์)

เรื่องยุ่งๆ เกิดขึ้น เมื่อ เจ้าชายอินทัต มาร่ามงานเฉลิมฉลองขึ้นครองราชย์ครบรอบ 60 ปีที่เมืองไทย แล้วมีการพยายามลอบปลงพระชนม์เกิดขึ้น ราวัตสั่งให้ เจ้าชายอินทัต กลับธิโมส์ด่วน และมีความเชื่อลึกๆว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมาจากฝีมือ “มาริศ” ลูกเกลียด หัวขบถที่พยายามแย่งชิงทุกอย่างจากพี่ชาย (มาริศหายตัวไปจากวัง) เจ้าชายอินทัติกลับมาถึงธิโมส์ พร้อมเจอเรื่องเซอร์ไพรส์ นั่นก็คือ ได้เลขาสาวส่วนตัว “ฌาคีย์”ผู้ลึกลับ และที่แน่ๆ ดูอันตรายเกินกว่าจะเป็นเลขาสาวทั่วๆไป ทุกเรื่องที่เจ้าชายอินทัตทำ ทุกที่ที่เจ้าชายอินทัตจะไป จะต้องผ่านการสกรีนจาก ฌาคีย์ คนนี้ ราวัตเองก็ดูจะวางใจที่จะให้ฌาคีย์คอยดูแลลูกชายคนโปรด

นับวันอินทัตก็ยิ่งรู้สึก ติดใจ ทึ่ง ดึงดูด ในตัวฌาคีย์ (และในออร่าความอันตรายที่แผ่ซ่านออกมา) หากแต่ฌาคีย์ดูเหมือนไม่รับรู้/ใส่ใจ ท่าทีของอินทัต แต่ที่แน่ๆ เจ้าชายอินทัตที่เธอรู้จัก สัมผัส ร่วมงานด้วย รวมทั้งต่อกรกับความร้ายกาจต่างๆนานา ดูเหมือนจะเป็นคนละคนกับเจ้าชายอินทัตที่คนอื่นเล่าและพูดถึง

เรื่อง ร้ายๆ ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจ้าชายอินทัต ยังคงถูกตามปองร้ายไม่หยุดหย่อน จนในที่สุดผู้ถูกล่าต้องก้าวออกมาเป็นผู้ล่าเสียเอง แม่เลขาสาวต้องมาติดบ่วงเกมส์ของเจ้าชายอินทัตในการไล่ล่า “มาริศ” กลับมาเพื่อให้เรื่องบ้าๆได้ยุติลงเลียทีและเพื่อให้หัวใจที่ไม่เคยรักใคร ไม่เคยรู้จักความรัก ไม่เคยผูกพันและเย็นชาของฌาคีย์ได้กลับมาเป็นปกติ ไม่แกว่ง ไม่เกเร เหมือนตอนอยู่ใกล้เจ้าชายอินทัต

ขณะที่เจ้าชาย อินทัติ ชีวิตที่ขาดความรักมาตลอด และต้องการความรักจากคนที่รักที่สุด แต่ไม่เคยได้ แล้วยังต้องมาเจอ มารัก แม่สาวใจแข็งสุดๆอย่าง ฌาคีย์เนี่ย รับรองปวดหัวใจแน่นอนค่ะ (อ้อลืมไป จริงๆแล้ว ฌาคีย์เป็นคล้ายๆ บอดี้การ์ดค่ะ คงเดากันได้ เป็นระดับท้อปๆ ด้วย ถูกฝึกหนักตั้งแต่เด็กจนโต เป็นลูกกำพร้า พ่อ แม่ โดนโจรฆ่าต่อหน้า ต่อตา เลยโดนเก็บมาฝึกในค่ายทหาร เรียกว่า พระเอก นางเอก เรื่องนี้ เป็นคนมีปมด้วยกันทั้งคู่ คนขาดกับคนขาดมาเจอกันก็เลยเป็นเรื่อง)

สุดท้ายจะจับคนร้ายได้มั้ย และคนร้ายเป็นพวกไหน เป็นใคร มีเหตุผลอะไรแอบแฝง ขอไม่เฉลยนะคะ จะได้ลุ้น
ขอ ย้ำพระเอกเรื่องนี้ได้ใจมากมาย ทั้งร้าย เล่ห็เหลี่ยม แพรวพราว มีเสน่ห์สุดๆ แต่น่าสงสาร แถม เสียสละ ปิดทองหลังพระด้วย ดราม่า บู๊ หวานครบรส 5555 เหมาะกับดริวมากนะ เพราะต้องแสดงอารมณ์หลากหลาย

รับพิจารณาหน่อยมั้ยค่ะ บอส

ส่วน นางเอก คิดไว้ว่าเป็นเชอรี่ แต่ผิดกฎ เพราะแสดงด้วยกันแล้ว เฮ้อ ขอกลับไปนึกก่อนนะคะ หายากค่ะ นางเอกเท่ห์ๆเนี่ย ถ้าคุณหน่อยยังสาวอยู่ก็จะเลือกนะคะ นุ่น ศิริพันธ์ ก็แสดงไปแล้ว ใครดีหว่า ติดข้อนี้ไว้ก่อนนะคะ

ส่วนทำไมถึงอยากให้ดริวแสดงเรื่อง นี้ เพราะว่ามันหลากอารมณ์ค่ะ ทั้งเศร้า ทั้งบู๊ เก็บกดความรู้สึก เลยคิดว่าเหมาะกับคนที่มีทักษะการแสดงรอบตัวอย่างดริว (ขออวยนิดนึง)

เรื่อง นี้ให้อะไรคนดู ตอบได้เต็มๆ คือการปล่อยวางค่ะ อดีตจะรุ่งโรจน์อย่างไร ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็อย่ายึดติดค่ะ จะทำให้ชีวิตมีแต่ทุกข์ อันนี้รวมถึงเรื่อง ความเจ็บปวดขมขื่นต่างๆในอดีตต้องปล่อยให้มันเป็นอดีต อย่าเอามาปิดกั้นความสุขในอนาคต เหมือนนางเอก แล้วที่ชอบมากๆ อีกอย่างคือมันเกี่ยวกับ ความรักในครอบครัวค่ะ ต่อให้ทำร้ายจิตใจกันมาขนาดไหน ความรักความกตัญญูต่อบุพการีต้องมาก่อนเสมอ




000000000000000000000000000000000000

โดย: nin77 วันที่: 24 มกราคม 2553 เวลา:23:05:33 น


ก็ไปนั่งคิดนอนคิดอยู่หลายวันว่า ณ.เวลานี้อยากดูละครแนวไหนอยากเห็นดริวในบทบาทแบบไหน ก็ได้คำตอบมาว่า อยากดูแบบสบายๆสไตล์นายภัทรแห่งเกมลุ้รัก ก็ไปนั่งคิดอีกว่านิยายที่มีพระเอกประมาณนี้ที่เคยอ่านมามีเรื่องอะไรบ้าง เลยนึกถึงเรื่องนี้ "มาลาเค"อ่านมานานมากจนลืมๆเกือบหมดเลยมาลองค้นดูและเอามานำเสนอ...

มาลาเค.....ผู้แต่ง โรสลาเรน
ผู้ชายบางคนเป็นแค่ผู้ชาย แต่ผู้ชายอีกบางคนเป็นลูกผู้ชาย

มาลาเคแห่งเปอร์ซี เจ้าหญิงไร้บัลลังก์ที่รอวันจะกลับไปแผ่นดินบ้านเกิด
และ อัมราน กัสตี มหาเศรษฐีเพลย์บอยของเมดิเนีย ฉายาจิ้งจอกทะเลทรายอยากได้อะไรต้องได้ ผู้ที่อดไม่ได้ที่จะต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือเอาบัลลังก์กลับคืนมา

เรื่อง นี้ อัมราน เป็นพระเอกที่มีสีสัน ฉลาด ไร้ระเบียบกฏเกณฑ์ ร้าย เจ้าเล่ห์ อัมรานนั้นเจอกับมาลาเคด้วยว่า สามแม่ลูกของราชวงศ์เปอร์ซีมาเช่าบ้านของตนในเมดิเนีย ด้วยความที่อยากรู้ให้ได้ว่าใครที่มาเช่าบ้าน จึงสืบจนทราบว่า ผู้ที่มาเช่าบ้านนั้นเป็นอดีตเทวีแห่งเปอร์ซีกับลูกอีกสองคนคือ เมลก้า(มาลาเค)และเมนาท รัฐบาลที่ล้มราชวงศ์เปอร์ซีนั้นต้องการเก็บทุกพระองค์เพื่อที่จะไม่สามารถมี ใครคืนสู่บัลลังก์ได้ อัมรานนั้นอยากจุ้นช่วยเหลือโดยที่พยายามบอกตัวเองว่า ทำเพื่อเพื่อนองค์น้อยต่างหาก ไม่ได้อะไรอื่นเลยเรื่องราวของเรื่องจึงเริ่มต้นด้วยประการฉะนี้....

นาง เอก.....มาลาเค มีความสง่างามอย่างหญิงสูงศักดิ์ มีความอดทน ฉลาด แต่บางทีก็โก๊ะอย่างไม่ได้ตั้งใจเพราะไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นสิ่งธรรมดาสามัญที่ชาวบ้านเขารู้ (นึกถึงริต้าอ่ะค่ะ ขอริต้าอีกได้มั๊ย)

ส่วนพระเอก.....เวลาพูดราชาศัพท์ก็พูดผิดพูดถูก จะทำตัวดูดีแต่งสูทก็เท่ห์ แต่ปกติแล้วชอบแต่งเซอๆ เซอแบบไม่ได้ตั้งใจแต่ไม่ใส่ใจที่จะแต่งตัวมากกว่า ใส่กางเกงยีนส์เก่าๆ เสื้อยืดยัดใส่ในกางเกงข้างนึงปล่อยชายข้างนึง หัวยุ่งเหมือนไม่เคยเจอหวี(เขียนมาถึงตรงนี้จะนึกถึงใครอื่นไปไม่ได้เลย)ถ้า ใส่เสื้อแขนยาวก็ไม่เคยพับแขนเท่ากัน(อ๊ากกกก....เป๊ะเลยอ่ะ)จนนางเอกค่อน ขอดอยู่ในใจบ่อยๆว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะทำธุรกิจได้ร่ำรวยขนาดนี้ ตอนแรกที่มาบริหารงาน ใครๆก็ทำนายว่า เหลวเป๋ว เพราะภาพลักษณ์ที่ผ่านมา คือหนุ่มเจ้าสำราญ เหยาะแหยะ แต่....หารู้ไม่ว่า อัมรานของเราเป็นจิ้งจอกทะเลทราย คมในฝัก ฉลาดเป็นกรด กล้าหาญชาญชัย บ้าบิ่น ขี้เล่น รักใครรักจริง เวลาพูดหวานๆกับนางเอกก็น่ารัก....

ใช่เลย....ดริว ดิ๊ว ดริว อยากเห็นดริวในบทบาทแบบนี้จัง
นิยายเรื่องนี้จะออกแนวสนุก มีตัวละครที่ตลกหลายตัว มีบู๊ หวานๆก็มีนะ



ความเห็นของ heather

อ่านของพี่นินแล้ว ทำให้โมอยากอ่านมาลาเคบ้างจัง

จาก ที่พี่นินบรรยาย ชอบบุคลิกพระเอกแบบนี้อ่ะค่ะ แนวรักเดียวใจเดียว ทำทุกอย่างได้เพื่อนางเอก ฉลาด มีอิทธิพล เป็นยอดชายในฝันเลย 555
ถ้าพี่ดริวได้เล่นคงสุดยอดเลยเนอะ ^^

โมเคยอ่านเจอในพันทิปเค้าเขียนว่าอยากเห็นพี่ดริวเล่นบทอัมราน กัสตี เหมือนกันค่ะ แสดงว่าพี่ดริวเราเหมาะจริงๆ ^^

อีก อย่างนิยายเรื่องนี้ ไม่ต้องใส่ชุดแปลกๆใช่ป่ะคะ โมอยากเห็นพี่ดริวในชุดทั่วๆไปบ้าง เพราะเห็นพี่ดริวในชุดอาละดินไปเยอะแล้ว คราวนี้ขอแบบธรรมดาบ้างก็ดีค่ะ อิอิ




ความเห็นของ 421028


เข้ามายืนยัน ฟันธงอีกเสียงนะคะ ว่าเรื่องมาลาเค อัมราน กัสตรี จิ้งจอกแห่งทะเลเงิน ถ้าพอศอนี้จะสร้างเป็นละครต้อง แอนดริว เกร็กสัน เท่านั้น จริงๆ

ผู้ชายที่กวน และยั่วโมโหคน ได้ตั้งแต่ปลายเส้นผมข้างบนศรีษะจรดปลายส้นเท้าเบื้องล่าง

ผู้ชายที่ความกล้าอยู่เหนือความความบ้าบิ่น แค่เส้นบางๆ และเสพติดความเสี่ยงทุกรูปแบบในชีวิต

ผู้ชายที่ดูผิวเผินเป็นคนชุ่ยๆ แต่ลึกๆ ข้างในทั้งเนี๊ยบ ทั้งคม และสมบูรณ์แบบสุดๆ

ผู้ชายที่ฉลาดเป็นกรดในทุกๆ เรื่อง แต่โง่ที่สุดเรื่องความรัก

และที่สำคัญ อัมราน กัสตีเป็นลูกผู้ชายตัวจริงที่ยึดถือคติว่าต้องปกป้อง เด็ก คนชรา และผู้หญิง อย่างเคร่งครัด ฮ่าๆ

ถ้า อ่านมาลาเค แล้วหลงรัก อัมราน กัสตรี จากนั้นลองหยิบ ตราบแผ่นดินกลบหน้า มาอ่านถ้าอ่านแล้วไม่หลงรักเจ้านอเก้น หรือนาเคนทร์ เข้าอีกคน เรายอมเอาหัวเป็นประกันเลย...อิอิ

ปล.เห็นหลายๆ คนบ่นคิดถึงแอนดริว แต่เรากลับแปลกๆ ไปยิ่งได้เข้ามาอ่านความเห็นของเพื่อนๆ ในนี้เรากลับรู้สึกว่าจะคิดถึงตัวหนังสือในบล๊อกนี้มากกว่าแอนดริวเข้าแล้ว อิอิ ถ้าเจอที่นี่เมื่อสามปีก่อนคงเสพความคิดถึงแอนดริวได้สนุกไม่น้อยกว่าตอนนี้ แน่นอน

คิดดูสิคะ จะมีพระเอกคนไหน ที่มีวิญญาณของพระเอกในนิยายได้มากมายหลายเรื่องเท่าแอนดริวอีกแล้ว อ่านเรื่องไหนหน้าพ่อเจ้าพระคุณก็ลอยมาเรื่องนั้น ฮ๋าๆ







0000000000000000000000000000000000

โดย: ศรกล วันที่: 25 มกราคม 2553 เวลา:7:19:47 น.


เป็นนักเขียนนี่ไม่ใช่ง่ายเลยนะ เพราะอ่านและแก้เรื่องที่ตัวเอง
เขียนหลายรอบมาก กว่าจะลงตัวและให้มันออกมาพอใจเรา
ที่สุด
แต่ของจอย
เป็นเรื่องที่จอย แต่งขึ้นมาเองนะค่ะ คงไม่สนุกเท่าเพื่อน ๆ
และ ถ้าข้อมูลที่นำมาเขียน
ผิดพลาดและไม่ถูกต้องยังไง ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะค่ะ
ชื่อเรื่องว่า “บ้านคอยรัก” ค่ะ



ก่อนอื่นขอพูดถึงข้อคิดที่ได้จากเรื่อง “บ้านคอยรัก” ก่อนนะค่ะ
รวมถึงอธิบายถึงตัวพระเอกนางเอกว่าเหมาะสมกับแอนดริวและ
แอน ทองประสมยังไงบ้าง และเรื่องนี้มีอะไรแปลกใหม่สำหรับ
ดริวบ้าง ก่อนที่เราจะไปอ่านเรื่องราวทั้งหมดกันที่หลัง

ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ก็คือ
1. ส่งเสริมสถาบันครอบครัว เพื่อเด็กกำพร้าจะได้ลดจำนวนลง
2. ความกตัญญู รู้คุณคน ระลึกถึงคนที่เคยมีน้ำใจแก่เรา ดังที่กานต์
ปฏิบัติ คือรักลุงเชิด จดจำคำสอนของลุงเชิด และนำมาใช้ เช่น
การที่กานต์ไม่เคยลืมสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า “บ้านคอยรัก” ที่ยังคง
แวะเวียนและนำสิ่งของไปฝากรุ่นน้องและพี่เลี้ยงเสมอ
3. ความใฝ่ดีให้มีอยู่ในตัวและหัวใจเสมอ ไม่ว่าเราจะเกิดมาเป็น
อย่างไรก็ตาม
4. ความรักที่มั่นคง เสียสละ รักโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน คือความ
รักที่บริสุทธิ์และสวยงามเสมอ รวมถึงความรู้จักยับยั้งช่างใจของกานต์
และสาริศาทำให้ความรักที่เกิดกับทั้งคู่ดูมีคุณค่าและสูงส่งมากขึ้น
5. ข้อคิดที่มีอยู่ในนิยายทุกเรื่อง คือทำดีได้ดี อันนี้คือข้อคิดตามหลัก
มาตรฐานสากลของนิยายและละครที่จะมีขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ค่ะ

-พระเอก : แอนดริว (จะเน้นการบรรยายรอยยิ้มของดริวมาก
เป็นพิเศษเลยค่ะ รอยยิ้มอย่างนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจากดริว)
เรื่องนี้เราจะได้เห็นดริวในบทของหนุ่มวิศวกร เห็นดริวทำกับ
ข้าวเป็นพ่อครัว และเล่นกีตาร์ด้วย แล้วก็ยังอยากเห็นดริวใน
บทผู้ชายที่มั่นคงต่อความรัก รักเดียวใจเดียว เหมือนหลาย ๆ
เรื่องที่ผ่านมาของดริว คงเพราะดูดริวในบททีฑายุ เลยทำให้
ชอบดริวในบทผู้ชายแสนดี รักมั่นคงมากกว่า มันเหมาะกับ
บุคลิกและนิสัยของดริวด้วยมั้ง (ส่วนตัวไม่ชอบคนเจ้าชู้น่ะค่ะ)

-นางเอก : แอน ทองประสม หรือจะมีนางเอกคนไหนอีกบ้างที่
พี่ ๆ น้อง ๆ คิดว่าน่าจะเหมาะช่วยเสนอกันได้ค่ะ

บทของพระเอกและนางเอกใน “บ้านคอยรัก” จะเป็นการเก็บซ่อน
อารมณ์ด้วยกันทั้งคู่ แต่จะสื่อให้คนดูรับรู้ได้ด้วยสายตาของนักแสดง
ที่ถ่ายทอดออกมาอย่างมืออาชีพ...ในความคิดของจอยนะ อยากเห็น
แอนดริวกับแอนเล่นบทที่ต้องเก็บซ่อนอารมณ์และความรู้สึกว่ารักกัน
โดยแสดงออกมาทางสายตาของทั้งคู่ ซึ่งแอนดริวกับแอนไม่ทำ
ให้ผิดหวังแน่นอน แล้วทั้งคู่คงจะแสดงได้อย่างโรแมนติกด้วย ถ้า
ได้บทดี ๆ และโดน ๆ นะ...เฮ้ออยากเห็นจัง (ขอแอนดริวกับแอน
มาเล่นเรื่องนี้ที่จอยแต่งได้ไหมเนี่ย...)

................................................
ก่อนเข้าถึงเนื้อหาของเรื่องที่จะอ่าน มีเพลงประกอบให้ด้วยค่ะ
แต่ไม่ทราบจริง ๆ ว่าชื่อเพลงอะไร และใครเป็นคนร้อง ฟังแล้ว
มันเพาะดี และเข้ากับเรื่องที่แต่ง ก็เลยเอามาลงให้อ่านด้วยค่ะ
ลองอ่านดูนะค่ะ ว่าเพลงนี้น่าจะเหมาะเป็นเพลงประกอบละคร
“บ้านคอยรัก” หรือเปล่า

เนื้อเพลงตามนี้นะค่ะ
................................................
อยู่คนเดียวมานานกับความเหงาใจ วันเวลาผ่านไปก็นานแสนนาน
ก็ในหัวใจฉันเองก็ยังต้องการใครซักคนที่ค่อยดูแลและห่วงใย
จนวันหนึ่งที่เธอได้ผ่านเข้ามา ความอ่อนหล้าที่มีก็จางหายไป
คงเป็นเธอที่ทำให้ฉันเป็นคนใหม่ เธอคือหัวใจของฉันตั้งแต่นี้
*เธอคือคนที่ฉันตามหามาแสนนาน
และเป็นคนที่ฉันใฝ่ฝันในหัวใจ
แม้ชีวิตของฉันตอนนี้จะเป็นเช่นไร
แต่อยากให้รับรู้เอาไว้
**อยากบอกว่ารัก รักเธอเหลือเกิน แม้วันคืนล่วงเลยพ้นเป็นปี
แต่คืนนี้จะบอกเธอนะคนดี
อยากให้เธอ เชื่อฉันคนนี้ ฉันรักเธอ
......................................................

“บ้านคอยรัก”
ตอนที่ 1
กานต์เป็นเด็กกำพร้าอาศัยอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า “บ้านคอยรัก”
ตั้งแต่ที่เขาเกิดมา บ้านหลังแรกของเขาก็คือสถานรับเลี้ยง
เด็กกำพร้าแห่งนี้นี่นั่นเอง กานต์เป็นเด็กหัวดี มีแววฉลาดเป็น
พื้นฐานอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่กานต์อยากได้ และเป็นความฝัน
ว่าสักวันเขาจะต้องมีสิ่งนี้ให้ได้ นั่นก็คือ “บ้าน” บ้านที่เป็น
ของเขาเอง กานต์ก็เหมือนเด็กกำพร้าทั่วไปที่ต้องการมีครอบครัว
ที่อบอุ่น ได้เห็นหน้าพ่อแม่อยู่พร้อมหน้ากันในบ้านที่อบอุ่น
แต่มันก็เป็นไปไม่ได้สำหรับเด็กกำพร้าอย่างกานต์ที่ต้องการ
จะมีพ่อแม่ หรืออย่างน้อยก็มีญาติพี่น้อง สิ่งเดียวที่กานต์จะทำ
ได้เมื่อเขาโตขึ้น ก็คือการมีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านจะทดแทน
สิ่งที่เขาขาดหายไปในวัยเด็ก บ้านจะเป็นอีกสิ่งหนึ่องที่จะให้ความ
อบอุ่นในหัวใจที่แสนว้าเหว่ของเขา เขาคิดมาตลอด เขาจะสร้าง
ครอบครัวที่แสนอบอุ่น เขาจะรักลูกให้มากที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่ง
จะรักลูกได้ เขาจะไม่ทอดทิ้งลูก แม้จะยากจนหรือลำบากสักเพียงใด
เขาจะรักภรรยาของเขาให้มากที่สุดเช่นกัน เขาจะเป็นผู้นำครอบครัว
ที่ดี และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูก เขาจะให้ทุกอย่างที่เขาอยากมีและ
ขาดหายไปในวัยเด็กของเขา ให้แก่ลูก ๆ อย่างมีเหตุผลและถูกต้อง
ลูกของเขาจะเป็นตัวแทนในวัยเด็กของเขา ที่เขาต้องการให้มีและให้
เป็น...คำสอนที่กานต์จดจำจนขึ้นใจได้มาจากลุงเชิด......

“บ้านคอยรัก”
ตอนที่ 2
ลุงเชิดเป็นคนเก็บเขาขึ้นมาจากถังขยะ และนำเขามาส่งให้สถาน
เลี้ยงเด็กกำพร้า “บ้านคอยรัก” ดูแลต่อ เพราะลุงเชิดรู้ตัวดีว่าตนเอง
ไม่มีปัญญาที่จะเลี้ยงดูและรับผิดชอบชีวิตเด็กชายคนนี้ได้ เพราะแก
ก็เป็นแค่คนเก็บขยะ เร่รอน และขี้เมาไปวัน ๆ เอากานต์มาฝากไว้กับ
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า “บ้านคอยรัก” กานต์จะมีอนาคตที่ดีกว่าถ้า
แกจะเลี้ยงกานต์ไว้เอง แต่ลุงเชิดก็เหมือนมีอะไรที่ผูกพันธ์กับกานต์
ทำให้แกต้องแวะเวียนมาเยี่ยมกานต์อยู่เป็นประจำ และมาทุกครั้งก็
จะมีของติดมือมาฝากกานต์เสมอ ไม่ว่าจะเป็นขนม ของกิน
ของใช้ที่ยังพอใช้ได้อยู่ซึ่งก็เก็บมาจากของเก่าที่เขาทิ้งแล้ว หรือแม้
กระทั่งเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังมีมาให้กานต์อยู่บ่อยครั้ง กานต์เอง
ก็รักและผูกพันธ์กับลุงเชิดมากเช่นกัน ลุงเชิดเหมือนเป็นญาติ
คนเดียวที่เขามีอยู่ ลุงเชิดจะสอนกานต์เสมอว่าให้รู้จักกตัญญู
ให้มีความกตัญญูในหัวใจ ชีวิตจะพบแต่ความเจริญ เพราะความ
กตัญญจะเป็นเกาะกำบังและคุ้มครองคนที่มีความกตัญญูเสมอ
แต่ลุงเชิดก็อยู่ไม่ทันเห็นกานต์เป็นหนุ่ม แกก็สิ้นชีวิตลงซะก่อน

“บ้านคอยรัก”
ตอนที่ 3
กานต์เติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า “บ้านคอยรัก” และร่ำเรียน
จนจบป.ตรี ด้วยทุนจากการเรียนดีและประพฤติตัวดี เมื่อกานต์เรียน
จบและมีงานทำเป็นวิศกรในบริษัทที่มีชื่อเสียงและมั่งคงแล้ว
เขาจึงย้ายออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า กานต์มีเงินเดือนซึ่งเป็นราย
ได้ที่มากพอสำหรับที่เขาจะซื้อบ้านเป็นของตัวเองซะที เขาจึงซื้อบ้าน
หลังเล็ก ๆ บนเนื้อที่พอดีและพอเพียงสำหรับเขาและครอบครัวที่
เขาจะสร้างขึ้นในอนาคต เมื่อกานต์มองบ้านที่เขาซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรง
ของตัวเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับ
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า “บ้านคอยรัก” ที่เขาเคยอยู่ในวัยเด็ก ก่อนที่
เขาจะย้ายมาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในกรุงเทพ เพราะเขาได้
ทุนเรียนต่อ...ครอบครัวในบ้านหลังนั้นช่างเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉา
สำหรับเขาเสียเหลือเกิน บ้านที่ปลูกและตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่
น่าอยู่ รมรื่นด้วยต้นไม้ ช่างเป็นบ้านในฝันของเขายิ่งหนัก ที่สำคัญ
ในบ้านหลังนั้น มีเด็กผู้หญิงผิวขาวรูปร่างสมส่วนคนหนึ่งที่อายุ
แก่กว่าเขาน่าจะประมาณ 3 ปี ได้ เพราะเธอเรียนเป็นรุ่นพี่เขา
และสิ่งที่ทำให้กานต์จดจำเด็กผู้หญิงคนนั้นจนฝั่งใจคือความมีน้ำใจ
ของเธอ ที่แบ่งปันน้ำใจมารดฉ่ำบนหัวใจที่ว้าเหว่ อ้างว้างของเขา
ในเวลานั้นที่ลุงเชิดเพิ่งจะจากเขาไป ความมีน้ำใจของเธอ แววตา
สดใสที่แฝงความใจดี รอยยิ้มที่อบอุ่นที่ยิ้มให้เขาเสมอ เขาจำรอยยิ้ม
ของเธอได้ดีจนถึงทุกวันนี้ จำจนฝั่งใจ และเธอก็ได้กลายเป็นผู้หญิง
ในฝันของเขาไปตั้งแต่บัดนั้น......

“บ้านคอยรัก”
ตอนที่ 4
มีผู้หญิงหลายคนที่ผ่านมาในชีวิตของกานต์ตั้งแต่เขาเริ่มเป็นหนุ่ม
แต่ผู้หญิงทุกคนก็เป็นได้แค่เพื่อนและมิตรที่ดีต่อกัน ไม่มีอะไร
มากกว่าเพื่อน แม้ผู้หญิงในจำนวนนั้นหลายคนพยายามที่จะเป็น
ให้ได้มากกว่าเพื่อน แต่กานต์ ก็มีเพียงมิตรภาพที่ดีให้แก่พวกเธอ
เท่านั้น กานต์ยังไม่ถูกใจกับผู้หญิงคนไหนที่พานพบในชีวิต คงจะ
มีแต่เด็กผู้หญิงรุ่นพี่ของเขาคนนั้น ที่ยังอยู่ในความคิดและในใจเขา
มาตลอด โดยที่เขาก็คาดเดาหน้าตา รูปร่างของเธอในตอนนี้ไม่ถูก
ว่าเธอจะมีหน้าตาและรูปร่างอย่างไร และเปลี่ยนไปแค่ไหน ปานนี้
เธออาจจะมีลูกสองลูกสามไปแล้วก็ได้ และอาจจะดูแก่กว่าเขา
... แต่ภาพที่เธอหยิบหนังสือเรียนของเธอส่งให้เขาพร้อมรอยยิ้ม
ที่แสนอบอุ่นของเธอยังคงตึงอยู่ในความทรงจำของเขาไม่เสื่อมคลาย
ทุกวันนี้เขายังอยากที่จะพบเด็กผู้หญิงคนนั้น อยากจะเข้าไปบอกขอบคุณ
เธออีกครั้ง ว่าหนังสือเรียนเหล่านั้น พร้อมทั้งเครื่องเขียนต่าง ๆ ที่เธอ
เคยให้เขา บัดนี้ มันมีส่วนอย่างมากที่ทำให้เขามีวันที่ดีในวันนี้ได้
เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่เขาถือว่ามีพระคุณกับเขารองมาจากลุงเชิดและ
สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า...กานต์ได้กลับไปเยี่ยมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
“บ้านคอยรัก” สถานที่แรกที่เขาเคยอยู่ในวัยเด็กอยู่บ่อย ๆ เมื่อเขาว่าง
พร้อมทั้งซื้อของไปฝากรุ่นน้องและพี่เลี้ยงที่ค่อยดูแลเด็ก ๆ เมื่อไป
ทีไหร่เขาก็มักจะไปยืนดูบ้านที่แสนอบอุ่นหลังนั้น แต่ไม่เห็นคนใน
บ้านนั้นเลย จนเขาได้รับคำตอบว่า พ่อและแม่ของเด็กผู้หญิงใจดี
คนนั้น เลียชีวิตไปหลายปีแล้ว......

“บ้านคอยรัก”
ตอนที่ 5
ส่วนลูกสาวคนเดียวก็ไปทำงานที่กรุงเทพ นาน ๆ ถึงจะกลับมาพักผ่อน
ที่บ้านบ้าง ที่บ้านยังดูไม่โทรมและยังน่าอยู่เหมือนเดิม เพราะลูกสาว
ของเจ้าของบ้านจ้างให้คนมาดูแลอยู่ประจำ เธอยังรักบ้านหลังนี้อยู่
เคยติดป้ายขายอยู่เหมือนกันก่อนหน้านี้ แต่ก็เอาออก ที่สำคัญลูกสาว
คนเดียวของบ้านหลังนี้หรือเด็กผู้หญิงใจดีที่อยู่ในใจของกานต์ตลอดมา
ได้รับการบอกเล่าจากน้าเรณู ว่าตอนนี้เธอเป็นหมอ...
เธอเป็นจิตแพทย์ ที่ต้องทำงานอยู่แต่ในเมืองเป็นประจำ กานต์ได้
รับรู้เรื่องราวของเด็กผู้หญิงใจดีเพียงเท่านี้...

กานต์เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีพลังและความสามารถในการทำงาน
มาก ทำให้เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ไม่ยาก
ได้ก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่เขาก็ยังคงทำงานอย่างเต็มความ
สามารถบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ สุจริตและมีจรรยาบรรณต่อ
วิชาอาชีพต่อไป เขาได้รู้จักกับภารดลซึ่งเป็นรุ่นพี่ของกานต์หลายปี
ภารดลเป็นหนึ่งในหุ่นส่วนของบริษัทที่กานต์ทำงานอยู่ ประวัติของ
ภารดลไม่ค่อยดีนัก กานต์เคยได้ยินมาบ้าง ว่าภารดลเคยร่วมทำธุรกิจ
กับเพื่อนรุ่นพี่ แต่ภารดลไม่ซื่อ ธุรกิจล้มเพี่อนรุ่นพี่ของภารดลฆ่าตัว
ตายเพราะหนี้สินมากมายอันเกิดจากการทำธุรกิจนั้น เพื่อนรุ่นพี่ของ
ภารดลคนนี้ต้องรับใช้หนี้มากที่สุด ทำให้เขาหนีปัญหาด้วยการฆ่า
ตัวตาย... ภารดลแต่งงานแล้ว แต่ยังไม่มีลูก ภรรยาของภารดลเป็น
จิตแพทย์ เขาเปิดคลินิกให้กับภรรยาของเขาด้วย ในขณะที่ภรรยา
ของเขาเองก็เป็นหมอประจำที่รพ.รัฐบาลแห่งหนึ่งด้วยเช่นกัน

“บ้านคอยรัก”
ตอนที่ 6
กานต์เองถึงจะทำงานกับภารดลมานานก็ยังไม่เคยเห็นภรรยาของ
ภารดลจัง ๆ ซะที ได้ยินแต่คำบอกเล่าจากเพื่อน ๆ และลูกน้องว่า
ภรรยาของภารดลดูดีสมกับเป็นหมอ และที่สำคัญยังดูสาวและสวย
มาก น่าจะอ่อนกว่าภารดลเยอะพอสมควร กานต์ไม่ค่อยใส่ใจในคำพูด
ของเพื่อน ๆ และลูกน้องที่พูดถึงภรรยาของภารดลนัก จนมาถึงวันที่
เขารับรู้ว่าเด็กผู้หญิงใจดีคนนั้นก็เป็นจิตแพทย์เหมือนกัน ทำให้กานต์
เริ่มสนใจและอยากเห็นบุคลิกลักษณะ รูปร่างหน้าตาของคนที่เป็น
จิตแพทย์ขึ้นมา แต่กานต์ก็ยังไม่มีโอกาสเห็นภรรยาของภารดลซักที...

วันนี้เป็นวันหยุดที่กานต์ว่าง และขับรถขนของมาแจกเด็ก ๆ รุ่นน้อง
ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า “บ้านคอยรัก” กานต์ลงมือทำกับข้าวเลี้ยงเด็ก ๆ
เองโดยมีน้าเรณู และพี่เลี้ยงคนอื่น ๆ เป็นคนช่วย เวลาไม่นานนักก็มี
เพื่อนและลูกน้องของกานต์เดินทางและขนของมาแจกพวกเด็ก ๆ
เข้ามาสมทบอีกหลายคน จนดูคึกคักเหมือนมีงานเลี้ยงปีใหม่
หรืองานเลี้ยงวันเด็ก อาหารโดยฝีมือของกานต์ได้รับเสียงชมมากมาย
ว่าอร่อย ทำให้พ่อครัวมือสมัครเล่นยิ้มแก้มปริ รอยยิ้มของกานต์
ที่อยู่นอกเวลางานเป็นรอยยิ้มที่สดใสยิ่งนัก โดยเฉพาะในวันนี้
ปกติกานต์เป็นคนที่ยิ้มน่ารักและมีเสน่ห์อยู่แล้ว เมื่อเขายิ้มทีไหร่
เหมือนโลกทั้งโลกจะยิ้มตามทันที...

สาริศากลับมาพักผ่อนที่บ้านพ่อแม่ในช่วงหยุดยาวหลายวัน เธอมา
คนเดียวเป็นประจำเหมือนเคย...ป้าตุและลุงทูนมาช่วยขนกระเป้า
ลงจากรถ สาริศาหันไปตามเสียงคนมากมายและเสียงกีต้าร์ที่ดังมา
จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตรงข้ามบ้านของเธอ เธอเห็นภาพของผู้
ชายคนหนึ่งกำลังนั่งดีดกีต้าร์โปร่ง นุ่งกางเกงยีนส์สีฟ้าซีด สวมเสื้อ
เชิ้ตแขนสั้นลายสก็อต สวมรองเท้าผ้าใบ รายล้อมไปด้วยเด็ก ๆ และ
ผู้ใหญ่ชายหญิงหลายคนพากันร้องเพลงและตบมือตามจังหวะเสียง
ของกีตาร์ที่ชายหนุ่มคนนั้นดีด เธอยืนดูภาพนั้นแล้วรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
ยิ้มบาง ๆ เปื้อนอยู่บนใบหน้าของเธอ

“บ้านคอยรัก”
ตอนที่ 7
เวลาบ่ายมากขึ้นเด็ก ๆ และพี่เลี้ยงต่างแยกย้ายไปทำภารกิจส่วนตัว
และพักผ่อนตามอัธยาศัยหลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยง เพื่อน ๆ และลูกน้อง
ของกานต์พากันกลับ กานต์คิดว่าจะอยู่ต่ออีกซักหน่อย เพื่อไปเดินเล่น
สักพัก ที่ที่กานต์ไปเดินเล่นก็ไม่พ้นแถวรอบตัวบ้านภายนอกของเด็ก
ผู้หญิงใจดีคนนั้น วันนี้ก็เป็นอีกวันที่กานต์คิดว่าคงไม่เจอใคร เขาเผลอ
เดินเรื่อย ๆ เข้าไปถึงในรั้วบ้าน ซึ่งเปิดแง้ม ๆ ไว้ เหมือนคนลืมปิด
กานต์เริ่มไม่แน่ใจแล้ว อาจจะมีคนอยู่ในบ้านก็ได้ อาจจะเป็นขโมย
แอบเข้ามาขโมยของก็เป็นได้ เขาไม่ประมาท ระวังตัวและพร้อมที่จะ
จับขโมยไปด้วยหากโชคเข้าข้างเขา แต่ถ้าเขาโชคร้ายก็คงถูกขโมยฆ่า
หมกอยู่ในบ้านหลังนี้...อีกไม่กี่นาทีต่อมากานต์ก็ตะลึงกับภาพที่เห็น
ตรงหน้า เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนอนหลับอยู่บนโซฟาริมระเบียง
หลังบ้าน เขาจ้องพินิจหน้าหญิงสาว ภาพเด็กผู้หญิงใจดีก็ซ้อนทับขึ้น
มา ใจเขาเต้นแรงเหมือนมันจะออกมาวิ่งแข่งดีใจกับเขาเสียให้ได้
แต่เสียวนาทีหนึ่งเขาต้องรีบหลบออกมาเดี๋ยวนี้ ก่อนที่เธอจะตื่นขึ้น
มาแล้วตกใจ ที่อยู่ ๆ เห็นคนแปลกหน้าใครก็ไม่รู้ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
แล้วอาจไม่เป็นผลดีนักในการเจอกันครั้งแรก กานต์ตัดสินใจเดิน
กลับออกมาแล้วปิดประตูรั้วให้สนิท เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ที่ทำไม
เจ้าของบ้านถึงเผลอลืมล็อครั้วประตูบ้านขนาดนี้ เดินออกมาก็ไม่
เจอใครเลย ไม่ว่าจะเป็นป้าตุหรือลุงทูน......

“บ้านคอยรัก”
ตอนที่ 8
กานต์ได้เจอกับสาริศาโดยบังเอิญที่บ้านของสาริศาเอง เกิดเป็นมิตรภาพ
ที่ดีและทำให้ทั้งคู่ทบทวนและจำกันและกันได้ กานต์มารู้ในเวลาต่อมา
ว่าสาริศาก็คือภรรยาของภารดลนั่นเอง แต่เขาก็ไม่อาจห้ามใจไม่ให้รู้สึก
พิเศษกับสาริศาที่เรียกว่ารู้สึกดีและเผลอใจรักสาริศาไปในที่สุดได้
สาริศาเองก็มีความรู้สึกดีและรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่ใกล้เขา ในขณะที่
เธอเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ห้ามมีความรู้สึกพิเศษกับเขา เธอแต่ง
งานมีครอบครัวแล้ว ถึงแม้ว่าเธอกับภารดลไม่ได้เกี่ยวข้องกันฉันท์
สามีภรรยามานานแล้ว เพราะเมื่ออยู่กันไป นิสัยและรสนิยมของทั้งสอง
ต่างไปกันไม่ได้ แต่ที่ยังไม่ได้หย่าจากกัน เพราะว่าทั้งสาริศาและภารดล
ยังไม่มีเวลาที่จะหันมาตกลงกันอย่างจริงจัง สาริศาพยายามรักษาความ
สัมพันธ์และความรู้สึกกับกานต์ได้แค่เพื่อน แค่คนที่มีความรู้สึกดีให้
กันเท่านั้น...

แม้กานต์จะรู้สึกรักสาริศามากขึ้นเพียงใด แต่เขาก็จะไม่ยอมให้ความ
รู้สึกต้องการของตัวเองมาทำลายเกียรติและชื่อเสียงของผู้หญิงที่เขารัก
เป็นอันขาด เขาจะไม่มีวันล่วงเกินหญิงสาวที่เขารอคอยมาแสนนาน
และเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่เขาสามารถพูดได้เต็มปากว่า
รักเธอ เพราะเธอไม่ได้อยู่ในฐานะที่เขาจะแตะต้องเธอได้ด้วยร่างกาย
แต่หัวใจที่บริสุทธิ์ของเขาต่างหากเท่านั้นที่จะแตะต้องและรักผู้หญิง
คนนี้อย่างจริงใจและไม่ต้องการอะไรจากเธอเลย เขาขอแค่ได้รักเธอ
เท่านั้น โดยเธอไม่ต้องรักเขาก็ได้...

กานต์เริ่มรู้ระแคะระคายว่าภารดลมีพฤติกรรมไม่ซื่อกับบริษัท และอาจจะมี
แผนไม่ดีในโครงการที่กานต์รับผิดชอบและดูแลอยู่ ในขณะเดียวกัน
ภารดลก็เริ่มจับสังเกตว่ากานต์และสาริศามีความรู้สึกพิเศษต่อกัน
กานต์มารู้ว่าเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำธุรกิจกับภารดลแล้วฆ่าตัวตาย เป็นพ่อของ
สาริศานั่นเอง ในขณะที่กกานต์เริ่มสงสัยและได้เบาะแสพร้อมหลักฐาน
บางอย่างของภารดลที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจของภารดลกับพ่อของสาริศา
กานต์ได้เล่าถึงความไม่ซื่อตรงและมีลับลมคมในของภารดลให้สาริศารู้
เพื่อสาริศาจะได้ระวังตัวและตามเกมส์ของภารดลทัน และจะได้ไม่ถูก
ภารดลหลอกได้ ในขณะที่สาริศาก็ระเคะระคายกับการตายของพ่อมา
ตลอด แต่ที่จำใจต้องแต่งงานกับภารดล เพราะเป็นความต้องการของ
พ่อ สาริศาเองก็ไม่เคยมีเพื่อนชายและรักใครมาก่อน มีภารดลคนเดียว
ที่เป็นเพื่อนชายที่สาริศาสนิทด้วยที่สุด และมีความประพฤติอยู่ในสายตา
ของพ่อแม่สาริศามาตลอด อีกสาเหตุหนึ่งที่เธอตัดสินใจแต่งงานกับ
ภารดลก็เพราะแม่ของเธอ.....

“บ้านคอยรัก”
ตอนที่ 9
หลังจากที่พ่อตายและทิ้งหนี้สินไว้เป็นจำนวนมาก นอกจากจะขาย
ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ก็ยังไม่พอใช้หนี้ นอกเสียจากว่าเธอจะต้องแต่ง
งานกับภารดล เพราะครอบครัวภารดลมีสมบัติมากมายพอที่จะปลด
หนี้สินให้พ่อของเธอได้ และแม่ของเธอก็จะได้สบายใจ แต่การแต่ง
งานของเธอก็ไม่ได้ช่วยอะไรแม่ของเธอนัก ในที่สุดแม่ของเธอก็ตรอม
ใจตายตามพ่อไปในที่สุด... บางครั้งสาริศาคิดอยากจะเลิกเป็นจิตแพทย์
เพราะการเป็นจิตรแพทย์ของเธอก็ยังช่วยคนที่เธอรักทั้งสองคนไม่ได้
แต่จนแล้วจนรอด เธอก็ยังคงทำอาชีพนี้และรักษาคนไข้ของเธอต่อไป

เมื่อภารดลทำอะไรในแผนงานโครงการที่กานต์รับผิดชอบอยู่ไม่
สำเร็จ เพราะความฉลาดและรอบคอบของกานต์ จึงทำให้ภารดล
หันมาเล่นงานกานต์ โดยการขอฟ้องหย่าสาริศา เพราะสาริศากำลังมีชู้
โดยชู้ของสาริศาก็คือกานต์...กานต์รู้สึกโกรธและเจ็บใจยิ่งกว่าที่ภารดล
จะพยายามทำลายงานของเขาเสียอีก เพราะเขารักสาริศามากและไม่
ต้องการให้เธอเลื่อมเสียชื่อเสียงด้วยเรื่องเช่นนี้ ในระหว่างที่มีการยื่น
ฟ้องต่อศาลของภารดลและมีการสู้คดีกันอยู่นั่น ความไม่ซื่อสัตย์ ฉอโกง
บริษัทของภารดลก็ปรากฏขึ้นด้วยหลักฐานต่าง ๆ ที่มัดตัวภารดลเอง
โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างตึกสูงย่านกลางใจเมืองที่มีการตรวจสอบ
ว่าการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานเพราะมีการทุจริตในวัสดุก่อสร้าง และ
ที่สำคัญการตายของพ่อสาริศามีภารดลเป็นสาเหตุสำคัญ รวมทั้งมีหลัก
ฐานต่างๆที่ภารดลโกงพ่อของสาริศา มัดตัวภารดลเลยทำให้ภารดล
ต้องถอนฟ้องคดีฟ้องหย่าสาริศา...

“บ้านคอยรัก”
ตอนที่ 10
สาริศาขอหย่าจากภารดลก่อนที่ภารดลจะคิดหนีไปเมืองนอกหรือถูกจับ
เธอขอให้จบสิ้นเวรกรรมกันในชาตินี้เพราะอย่างน้อยครอบครัว
ของภารดลก็ยังชดใช้หนี้สินแทนให้พ่อของเธอ ภารดลยอมหย่าให้
สาริศาหลังถูกจับกุมที่สนามบินเพราะคิดจะหนีไปต่างประเทศ
สาริศาไม่ทำคลินิกที่ภารดลเปิดให้ต่อ โดยยกคลินิกคืนให้กับพ่อแม่
ของภารดล ส่วนเธอขอทำงานแค่ที่รพ.รัฐบาลที่เธอทำประจำอยู่
และใช้ชีวิตในช่วงวันหยุด กลับไปพักผ่อนที่บ้านพักหลังเก่า ตรง
ข้ามสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า “บ้านคอยรัก”

สาริศายืนมองดูแผ่นหลังกว้าง ของผู้ชายตรงหน้าที่กำลังนั่งเล่นกีตาร์
โดยมีเด็ก ๆ รายล้อมนั่งร้องเพลงตามจังหวะเสียงกีตาร์... ภาพของเด็ก
ผู้ชายที่ตอนนั้นสูงแค่หัวไหล่ของเธอก็ผุดขึ้นในความทรงจำ เด็กคน
นั้นมีเอกลักษณ์ที่เธอจำได้แม่นยำก็คือรอยยิ้มที่สดใสทะลุผ่านออกมา
เด่นชัดกลบมิดปมด้อยของความเป็นเด็กกำพร้า รอยยิ้มนั่นที่เคยอยู่บน
ใบหน้าเล็ก ๆ ในตอนนั้น แต่เดี๋ยวนี้มาอยู่บนใบหน้าของผู้ชายคนนี้ที่
หันมายิ้มให้กับเธอ... รอยยิ้มกว้างดูสดใสน่ารัก และมีเสน่ห์ อยู่บน
ใบหน้ายาว จมูกโด่ง คิ้วสวย ริมฝีปากได้รูป ดวงตาโตคมสวยเก็บ
อารมณ์และความรู้สึกต่าง ๆ ไว้มากมาย แต่เมื่อยามยิ้ม ดวงตาจะตี่หยี
ส่องแววระยิบระยับสดใสเหลือเกิน เคราสีฟ้าอ่อน ๆ อยู่บนใบหน้าขาว
ใสที่ดูอ่อนกว่าอายุจริง จากเด็กผู้ชายที่หัวสูงเพียงแค่ไหล่ของเธอใน
ตอนนั้น แต่วันนี้หัวของเธอสูงแค่ไหล่ของเขา......(จบค่ะ)
.....................................................
บ้านคอยรัก ยังมีซีนน่ารักกุ๊กกิ๊กของพระเอก นางเอกที่คิดไว้สองสาม
ซีนแต่ยังไม่ได้เขียนบรรยายละเอียดไว้ในเนื้อเรื่อง ขอเขียนสั้น ๆ 1ซีน
เช่น
-ตอนที่นางเอกเชิญพระเอกมากินข้าวที่บ้านนางเอก เพื่อเลี้ยงตอบแทน
ที่พระเอกมาปลูกต้นไม้ให้ที่บ้าน แล้วป้าตุบอกกับนางเอกว่า พระเอก
ทำกับข้าวอร่อย ชอบมาทำอาหารเลี้ยงเด็ก ๆ อยู่เป็นประจำ ในขณะที่
นางเอกทำกับข้าวไม่เป็นเลย นางเอกก็เลยขอให้พระเอกแสดงฝีมือ ทำ
กับข้าวเลี้ยงผู้ใหญ่กำพร้าอย่างเธอหน่อย แล้วพระเอกก็ลงมือทำกับข้าว
โดยมีนางเอกและป้าตุเป็นลูกมือ (คิดตามกันนะค่ะ) พระเอกตักแกงจาก
ช้อนเล็ก ให้นางเอกชิม โดยพระเอกเป็นคนป้อน แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มหัวเราะ
กันอย่างน่ารัก (ประมาณพี่อาร์มกับน้องมุกตอนอยู่ในครัวน่ะค่ะ)



ความเห็นของ heather

พี่จอยคะ สุดยอดเลย

เขียนได้ยาวมาก บรรยายละเอียด

โมอ่านเพลินๆ มาถึงกลางเรื่อง

เอ๊ะ พระเอกปิ้งผู้หญิงแก่กว่าหรอ โอเคไม่เป็นไร แกกว่าแค่ 3 ปี
นึกหน้าพี่แอนไปด้วย ก็โออยู่ ^^

อ่านต่อไป เอ๊ะ นอกจากอายุมากกว่า แล้วยังแต่งงานแล้วด้วย
อิอิ

พระเอกเรื่องนี้ออกแนวรันทด เป็นเด็กกำพร้า รักผู้หญิงแต่งงานแล้ว
ต้องเก็บความรู้สึกของตัวเอง น่าสงสาร 555

แต่ เป็นเรื่องที่เหมาะกับพี่ดริวดีค่ะ พี่จอยใส่บุคลิกของพี่ดริวลงในตัวกานต์ได้ดี
ทำให้โมเห็นภาพของแต่ละตอนได้ ยิ่งถ้าได้จับคู่กับพี่แอนละก็ แหล่มเลยจ้า ^^



000000000000000000000000000



โดย: tewtew IP: 203.144.144.165 วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:4:58:37 น.





เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งพล็อตเรื่องขึ้นเองนะคะ เพราะร้างลาการอ่านนิยายมานานมาก เรื่องที่เคยอ่านๆมา ก็ทำเป็นละครจนหมดแล้ว ก็เลยลองคิดเองดู ช่วยอ่านให้จบและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

ชื่อเรื่อง “โค้งรุ้ง.....คุ้งดาว” โดย tewtew เองค่ะ

เรื่อง นี้จะสื่อให้เห็นถึงภัยธรรมชาติกับความสูญเสีย สอนให้คนหยุดทำร้ายธรรมชาติ จะสอดแทรกแง่คิด ให้กับชาวบ้าน ให้อนุรักษ์สัตว์น้ำ สัตว์ทะเล สำนึกรักบ้านเกิด รักเมืองไทย รักแผ่นดินแม่ โดยมีพระเอก นางเอกเป็นตัวเชื่อม

เรื่องนี้อาจจะได้เห็นดริวในบทบาทใหม่ เป็นชาวเล ชาวประมง มีการดำน้ำ เป็นอาจารย์และนักวิจัยทางทะเลที่หาตัวจับยาก มีทั้งบทบู้ บทผู้นำ บทผู้ตาม และบทกุ๊กกิ๊กบ้าง ซึ่งดริวน่าจะผ่านหมดทุกบท(ยกเว้นใส่ชุดกบ..ดริวจะยอมรึป่าวก็ไม่รู้...อิอิ อิ....)

นางเอกที่วางตัวไว้....อยากได้ผู้หญิงไทย หน้าหวานๆ สวย หวาน เก่ง ไม่ยอมคน และรักศักดิ์ศรีของความเป็นไทยมาก....น่าจะเป็นแอฟ ทักษอร นะคะ

....Anthony..หรือภคภาส ชายหนุ่มอายุประมาณ26-28ปี หนุ่มลูกครี่ง ไทย-อังกฤษ เขากำพร้าทั้งพ่อและแม่และต้องสูญเสียน้องสาวคนเดียวไปกับเหตุการณ์คลึ่นสึ นามิถล่มเมื่อ5ปีที่แล้ว เขาไม่คิดว่าจะได้กลับมาเหยียบแผ่นดินแม่อีกเพราะเหตุการณ์เมื่อ5ปีที่แล้ว สภาพ พ่อ แม่และก็น้องสาวที่ต้องตายอย่างน่าเวทนา มันทำให้เขามิอาจลืมได้และฝังใจอยู่เสมอว่า ที่ตรงนี้ทำให้พ่อ แม่และน้องต้องตาย ทั้งยังฟังคำพูดจากปู่กับย่าที่อยู่อังกฤษผู้ที่เลี้ยงดูเขามาว่าแม่ทำให้ พ่อกับน้องต้องตาย เพราะแม่ไม่ยอมย้ายไปอยู่ที่บ้านปู่กับย่า แต่หารู้ไม่ว่าพ่อต่างหากที่อยากอยู่เมืองไทยพ่อรักแม่มาก และก็รักเมืองไทยมาก ถึงขนาดเคยสั่งเอาไว้ก่อนตายว่า ถ้าตายก็ขอให้เอาแผ่นดินไทยกลบหน้า
เมื่อ 5 ปีก่อนเขาและปู่กับย่า ได้บินมาจัดการงานศพพ่อ แม่ และน้อง ให้ถุกต้องตามประเพณี และก็ยกร้านอาหารเล็กๆแห่งนี้ให้กับน้าเดือน น้องสาวและญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ของแม่ให้ดูแลแทนและเขาก็ไม่เคยกลับมา เหยียบที่นี่อีกเลย จนกระทั่งได้รับจดหมายจากเมืองไทยว่าน้าเดือนสิ้นใจเสียแล้ว และให้เขาซึ่งเป็นผู้รับมรดกโดยชอบธรรมแต่เพียงผู้เดียวให้มาจัดการว่าจะขาย หรือจะทำต่อ ลำพังร้านอาหารเล็กๆร้านเดียว เขาไม่ต้องการหรอก จะไม่กลับมาก็ได้ แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่าง....ที่ทำให้เขาอยากกลับมา..แผ่นดินแม่อีกครั้ง หนึ่ง
ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงรั้วไม้ระแนงต่ำๆ มีป้ายแกะสลักเป็นตัวหนังสือภาษาไทยเก๋ๆว่า”บ้านโค้งรุ้ง....คุ้งดาว” แสงตะวันอ่อนๆยามพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า สาดส่องเข้าไปในบริเวณบ้านที่ปลูกเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ ลายล้อมไปด้วยพันไม้ต่างๆนา ทังไม้ดอกและไม้ประดับ เลยออกไปหน่อยมองเห็นหลังคาบ้านหลังเล็กๆเรียงรายกันออกไป เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยเพราะมันไม่เหลือสภาพเมื่อ5ปีที่แล้วให้เห็น สักนิด ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างน้าเดือน จะทำให้ที่ร้างแห่งนี้กลายเป็นที่ร่มรื่นน่าอยู่ได้ขนาดนี้
“อ้าว!คุณโทนี่ มายังไงครับเนี่ย” ลุงมั่นกับป้าแสงคนเก่าแก่ที่ดูแลที่นี่อยู่วิ่งออกมาต้อนรับภคภาสด้วยท่าทางยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ทำไม ไม่โทรมาบอกป้าก่อนล่ะคะคุณ...ป้าจะได้เตรียมต้อนรับ...ดูสิห้องหับป้าก็ยัง ไม่ได้จัดเลย....แต่ไม่เป็นไรนะคะป้าทำความสะอาดอยู่ทุกวัน....นอนห้องคุณ ป๋าก่อนก็ได้ค่ะ...ไปค่ะ เข้าบ้านก่อน”ว่าแล้วป้าแสงก็เข้าไปเกาะแขนภคภาสพาเดินเข้ำไปในบ้านด้วยท่า ทางที่มีความสุข
ภคถาสเดินเข้ามาในบ้านและกวาดสายตามองไปรอบๆ
“ที่นี่เปลี่ยนไปเยอะ จนผมจำแทบไม่ได้” เขาหันไปพูดกับลุงมั่นที่ยืนยิ้มกว้างมองดูนายน้อยของเขาด้วยความ
ปลื้มปิติ
“คุณโทนี่ ยังพูดไทยชัดอยู่เลยนะครับ....ลุงดีใจจริงๆ”
“เรียกผม..โต..เถอะครับ...ยังไงผมก็มีแม่เป็นคนไทย.....ภาษาไทยเป็นภาษาแม่นะครับ..ผมไม่ลืมหรอก”
“โถ....พ่อคุณของป้า....ป้าแสงน้ำตารื้นขึ้นมาโผเข้ากอดชายหนุ่มด้วยความเอ็นดู
“เดี๋ยวป้าไปเตรียมห้องให้คุณก่อนนะคะ คุณมาเหนื่อยๆจะได้พักผ่อน”ป้าแสงผละจากอกเดินมือปาดน้ำตาออกไป
“คุณโต...จะทำยังไงกับที่นี่ครับ จะทำต่อหรือว่าจะขาย”ลุงมั่นถามเพราะอยากรู้
“ผม ยังไม่รู้เลย...แต่คิดว่าน่าจะขายกิจการให้คนอื่นเค้าทำต่อไป ผมคงทำไม่ไหว...และก็ไม่มีความรู้ทางนี้เลย”ชายหนุ่มเดินไปเกาะที่ริม หน้าต่าง ความมืดเริ่มเครอบคลุมไปทั่วบริเวณ เขามองฝ่าความมืดออกไป เห็นแสงรำไรมาจากเรือนหลังเล็กๆทางด้านหลังมองออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ เขาจึงหันกลับมาถามลุงมั่น
“ยังมีคนมาพักที่นี่อยู่เหรอครับ” เขาบอกพร้อมมองหน้าออกไปนอกหน้าต่าง
“ไหนครับ”ลุงมั่นเดินมายืนข้างๆชายหนุ่มพร้อมชโงกหน้าออกไปดู แล้วเหมือนนึกขึ้นได้
“อ๋อ...คุณนนท์ครับ....แกมาคอยคุณอยู่หลายวันแล้ว”
“คอยผม..คอยทำไม..แล้วใครครับ..คุณนนท์”ชายหนุ่มเลิกค้วเป็นเชิงถามพร้อมกับความสงสัย

นนท ชา สาวน้อยหน้าหวานนักอนุรักษ์นิยม ชอบการดำน้ำเป็นชิวิตจิตใจ เป็นครูสอนดำน้ำ ว่างๆก็รับจ๊อบเป็นนักเขียนเชิงอนุรักษ์ เธอคุ้นเคยกับที่นี่เพราะจะพานักเรียนมาดำน้ำดูปะการังในบริเวณนี้และก็จะพา กันมาพักที่บ้านโค้งรุ้ง...คุ้งดาว...นี่เป็นประจำ และสนิทกับน้าเดือนมาก มากขนาดมากินนอนที่นี่เป็นเดือนๆ รู้เรื่องทุกอย่างของน้าเดือน และน้าเดือนเองก็รักและไว้ใจเธอมาก จนกระทั่งก่อนตายน้าเดือนก็สั่งเสียถึงหลานชายคนเดียวของน้าเดือน และเธอเองนั่นแหละที่เป็นคนจัดการงานศพของน้าเดือน และเป็นคนส่งข่าวถึงหลานชายคนเดียวของน้าเดือนด้วย

“ไปตามเธอมาพบผม” ชายหนุ่มหันมาสั่งนายมั่น หลังจากฟังเรื่องราวของนนทชาจากนายมั่น เขาใคร่อยากรู้ว่าเธอมาคอยเขาเพื่ออะไรกัน ลุงมั่นกับป้าแสงก็น่าจะจัดการได้

นนทชาเดินเอาผ้าขนหนูที่ห้อยคอ ขยี้ผมเมาแต่ไกล เธอพึ่งจะอาบน้ำสระผมเสร็จ หลังจากลงไปดำผุดดำว่ายอยูในทะเลนานสองนาน ซึ่งเป็นกิจวัตรที่เคยทำอย่างที่ไม่เคยรู้สึกเบื่อ สงสัยชาติที่แล้วเธอคงเกิดเป็นปลาล่ะมั้ง เธอเคยบอกตัวเองแบบนั้น
“สวัสดี ค่ะ” เธอยกมือไหว้ผู้ชายที่ยืนหันหลังให้เธออยู่เพราะอย่างน้อยเขาก็แก่กว่าเธอ อยู่หลายปี สายตาเขาจับจ้องออกไปนอกหน้าต่าง ร่างสูงๆ ผิวขาวๆเหมือนคนเอเชียมากกว่า ไม่ได้ขาวจั๊วแบบพวกฝรั่ง ค่อยๆ หันกลับมามองเธอ ด้วยสายตาที่....
“โอ้! อะไรกันนี่ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนี่น่ะเหรอ หลานชายคนดีของน้าเดือน ที่น้าเดือนเฝ้าพรรณนาให้เธอฟังอยู่ทุกวีวัน...พึ่งจะเชื่อคำพูดของน้าเดือน ก็วันนี้นี่เอง......ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้.....หล่อ..เท่ห์..เป็นบ้าเลย.....” นนทชาได้แต่กรี๊ดอยู่ในใจ แต่ภายนอกที่แสดงออกมาคือท่าทางที่ตรงกันข้ามกับใจอย่างสิ้นเชิง เพราะอย่างน้อยเธอก็เป็นคนไทย ไม่ยอมให้ใครมาดูถูกผู้หญิงไทยง่ายๆหรอก
“ชั้นชื่อนนทชา...เป็น....”เธออ้ำอึ้งนิดหน่อย “เป็นคนสนิทของน้าเดือน”
“แล้ว ไง”เป็นประโยคแรกที่เขาพูดกับเธอ สั้นและห้วนได้ใจจริงๆ ความรู้สึกดีๆเมื่อครู่นี้ เริ่มเลือนหายไปทีละหน่อย ลืม แม้กระทั่งว่าจะพูดอะไรต่อไป เมื่อต้องผสานกับสายตาอันคมกริบของเขา
“ทำไมน้าเดือนถึงได้ไว้ใจเธอขนาดนี้......ทั้งๆที่.......”ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบเธอก็แทรกขึ้นมากลางคัน
“ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ลูก ไม่ใช่หลาน....แล้วมีลูกหลานคนไหนบ้างละคะ ที่อยู่ดูแลคุณน้าคุณ จนกระทั่งท่านสิ้น.....คนเรานะคะ ถ้าจะรักกัน..ผูกพันธ์กัน...ห่วงใยซึ่งกันและกัน...ไม่จำเป็นต้องสายเลือด เดียวกันหรอกค่ะ...ขอแค่เราเป็นเพื่อนมนุษย์เหมือนกัน....เราก็สามารถรักกัน ได้” นนทชากลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เพราะน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรของเขาทำให้เธอไม่อยากคุยดีด้วย
“เอาล่ะ...ผมขอโทษละกัน” น้ำเสียงเขาแผ่วลง เหมือนรู้สึกผิด “คุณบอกจุดประสงค์ของคุณมา”
“ก้อ..ไม่มีอะไรมาก พรุ่งนี้ชั้นจะเอาเอกสารทั้งหมดมาให้คุณ ของๆคุณ จะได้หมดหน้าที่ของชั้นซะที”
“แล้วผมต้องทำอะไรบ้าง”
“ก็แล้วแต่คุณ สมบัติของคุณนี่”นนทชาพูดปัด
“แต่ ชั้นอยากจะบอกอะไรคุณไว้อย่างนึงนะ ว่าที่ตรงนี้เป็นที่ๆแม่คุณ คุณป๋าคุณ และน้าเดือนของคุณ รักและผูกพันธ์กับมันมาก ชั้นไม่อยากให้คุณขายมันเลย ชั้นเสียดาย เพราะชั้นก็รักที่นี่มากเหมือนกัน”นนทชาพูดด้วยน้ำเสียงเครือๆ แล้วก็เดินผละไป ปล่อยให้ชายหนุ่มมองตามและยืนครุ่นคิดอย่างไม่รู้จะตัดสินใจยังไง

โอ้ โห..นี่แค่บทเริ่มต้นเองนะ อย่าพึ่งเบื่อซะก่อนล่ะ หลังจากนั้นก็จะมีเหตุการณ์ต่างๆนาๆที่ทำให้ทั้งคู่ต้องมาเผชิญหน้ากัน ต้องเกี่ยวข้องกัน นนทชาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ภคภาสเก็บสมบัตืชิ้นนี้เอาไว้ เพราะที่บ้านโค้งรุ้ง..คุ้งดาว..แห่งนี้เป็นจุดที่สวยที่สุดบนเกาะนี้ มีแต่คนอยากจะได้ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้ครอบครองมันแม้กระทั่งพยายามที่จะค่านนทชา เพียงเพื่อ เมื่อไม่มีเธอการที่จะเกลี้ยกล่อมภคภาสนั้น คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรนักจากเหตุการณตรงนี้ การได้ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ทำให้ทั้งสองคนเริ่มมีความรู้สึกดีๆให้กัน เห็นใจกัน

นนทชาได้สอนให้ เขาใช้ชีวิตแบบชาวบ้าน ชาวเล ชาวประมง ได้ออกหาปลา ได้ดำน้ำดูปะการัง เอาความรู้และประบการณ์ที่สั่งสมมา ถ่ายทอดให้ชาวบ้านรู้ ให้ปฏิบัตตัวให้เข้ากับธรรมชาติ หยุดทำร้ายธรรมชาติ

เรื่องนี้ก็จะมี ฉากกุ๊กกิ๊กระหว่างพระเอกกับนางเอกอยู่เหมือนกัน อย่างตอนที่นางเอกสอนพระเอกดำน้ำ นางเอกเกิดเป็นตะคริว แล้วจมน้ำ พระเอกก็นึกว่าแกล้ง แต่สุดท้ายก็โดดลงไปช่วย แล้วก็มีการผายปอดกัน นางเอกรู้สึกตัวก็โวยวายใหญ่
“นี่คุณ ผมช่วยคุณนะ แล้วคุณมาโวยวายใส่ผมทำไมล่ะ”
“ใครใช้ให้คุณมาทำแบบนี้ล่ะ ชั้นเป็นผู้หญิงนะ” นนทชาพูดแล้วออกอาการหน้าแดง
“ผมผายปอดนะครับไม่ได้จูบคุณ แล้วเมื่อกี้หน้าคุณก็ซีดเป็นไก่ต้ม ผมไม่มีอารมณ์หรอก”เขาพูดพร้อมกับส่ายหัว
“รู้จักด้วยเหรอ ซีดเป็นไก่ต้มน่ะ” เธอย้อนถาม
“รู้ สิ..ตอนเด็กๆ เวลาผมกลัวอะไรมากๆ หรือเห็นเลือดละก็ หน้าผมจะซีดมาก จนแม่ชอบพูดว่าหน้าซี๊ดเป็นไก่ต้ม..ผมจำได้ขึ้นใจเชียวล่ะ”เขาเล่าและนึกถึง เหตุการณ์เมื่อตอนเด็กๆ เวลาช่วง summer เขาจะมาพักอยู่ที่นี่
“อะไรกัน ตัวออกจะโต....ใจปลาซิวไปได้”
“ใคร บอก ใจปลาซิว ใจผมน่ะ เท่านี้ต่างหากล่ะ” แล้วเขาก็กุมมือเธอขึ้นมา พร้อมส่งสายตา ที่สามารถทำให้คนที่มองอยู่ละลายไปต่อหน้าต่อตาได้เลยทีเดียว

สัมพันธ ภาพของทั้งคู่กำลังดำเนินไปด้วยดี แต่แล้วจู่ๆ ภคภาส ก็ถูกปู่กับย่าทางโน้นเรียกตัวกลับด่วน ทำให้เขาต้องทิ้งหัวใจเขาไว้ที่นี่ ทำไมน้า.....ความสุข..มักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน นนทชาเฝ้ารอการกลับมาของเขาอยู่ทุกวัน..จากหัวใจที่เคยพองโต กลับห่อเหี่ยว..ไร้เรี่ยวแรง.....แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า..ที่เธอจะมานั่ง เศร้า..คลุกเคล้าความหลังอยู่อย่างนี้..นนทชาคนเดิมหายไปไหน.....

ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจ ทิ้งความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่นี่......กลับไปเรียนโทต่อที่กรุงเทพฯ

.......2 ปี ต่อมา......
“เฮ้ย...นนท์ วันนี้จะมีอาจารย์สอนพิเศษประจำภาค มาใหม่ด้วยล่ะ”รวี เพื่อสาวคนสนิทของนนทชาเดินเจื้อยแจ้วส่งข่าวมาแต่ไกล
“เหรอ....มาจากไหนอ่ะ” ปากพูด แต่ตายังจับจ้องอยู่กับนิตสารตรงหน้าเหมือนไม่ใส่ใจนัก
“เขา ว่าเป็นคนไทย..มาจากอังกฤษ...ว่าที่ด๊อกเตอร์เชียวนะ....เก่งมากเลย..เป็น นักวิจัยด้วย...และที่สำคัญ....หล่อด้วยล่ะ.....” รวี ทำท่าทางปลื้มออกหน้าออกตา
“รวี..เธอนี่แพ้ความหล่ออีกแล้วนะ.....เห็นใครหล่อเป็นไม่ได้”นนทชาแซวเพื่อนแล้วก็นึกขำ
“ป่ะ...ไปดูกัน...”ว่าแล้วรวีก็ฉุดเพื่อนสาวขึ้นตึกไป

..ที่หน้าห้อง..

“ผม ยังใหม่สำหรับที่นี่มาก มีอะไรก็ช่วยแนะนำด้วยนะครับ อาทิตย์นึงผมจะสอนแค่ 2 วัน นอกนั้นผมก็จะไปอยู่ที่เกาะ บ้านโค้งรุ้ง..คุ้งดาว ของผมครับ ใครว่างก็แวะไปเที่ยวได้น้ะ ยินต้อนรับเต็มที่เลยครับ”สิ้นเสียงอาจารย์สอนพิเศษคนใหม่ นักศึกษาก็ปรบมือกันเกรียวกราว แต่คนที่ยืนใจเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่หน้าห้องนี่สิ ไม่...เราได้ยินผิดไป..ไม่ใช่...นนทชาร้องบอกตัวเองในใจอย่างสับสน มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ ค่อยๆโผล่หน้าออกไปที่ประตู เป็นจังหวะที่อาจารย์ภคภาสเหลือบสายตามามองพอดี ตาต่อตาประสานกันอีกครั้งหนึ่ง......นี่มันอะไรกัน สิ่งที่เธอเคยปรามาสเค้าไว้ต่างๆนา เคยดูถูกว่าเค้าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำอะไรไม่เป็น.....คิดขึ้นมาอย่างนั้นแล้วเธอก็รู้สึกอายจนไม่สามารถยืนอยู่ ตรงนั้นได้.....จึงวิ่งหนีไป

สุดท้ายพระเอกของเราก็ไปปรับความเข้าใจ กับนางเอกจนได้ ว่าที่เค้าหายไป เพราะอะไร เค้ากลับเรียนต่อให้จบเค้าเรียนเกี่ยวกับงานวิจัยทางทะเล การอนุรักษ์สัตว์ทะเล เกี่ยวกับคลื่นสึนามิ เพราบทเรียนที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเค้า มันทำให้เค้าอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้รู้ทันภัยธรรมชาติ จะได้ไม่ต้องพบกับความสูญเสีย เหมือนอย่างที่เค้าเคยเจอ และก็รู้และเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงได้รักแม่และรักเมืองไทยได้ขนาดนี้ เพราะตอนนี้เขาก็กำลังตกหลุมรักผู้หญิงไทยเข้าให้แล้วล่ะสิ........

ขอ อภัยนะคะ หากมีข้อมูลอะไรผิดพลาด เพราะเป็นเรื่องที่คิดขึ้นเอง พล็อตเอง ถ้าหากสมมุติว่าจะเอาไปทำเป็นละครจริงๆแล้วนั้น คงต้องให้มืออาชิพจริงๆ เค้าทำน่ะค่ะ ต้องให้กูรูที่เค้ามีความรู้ทางด้านนี้โดยเฉพาะ

+++ภัยธรรมชาติ โหดร้าย..และทำลายชีวิต.....แต่...ผลพวงที่เราทำร้ายเขาก่อน++++

+++หยุดทำร้ายธรรมชาติกันตั้งแต่วันนี้..อาจช่วยสมานรอยร้าว..รอยแตก..ของโลกได้++++





00000000000000000000000000000000


โดย: vanilla IP: 203.144.144.165 วันที่: 27 มกราคม 2553 เวลา:19:54:03



รื่อง บ้านไร่ เรือนตะวัน
(นวนิยายรักของคนรักต้นไม้ ^^)

เขียนโดย ชมัยภร แสงกระจ่าง ค่ะ


นิยาย เรื่องนี้เกี่ยวกับการปลูกป่าธรรมชาติ หรือทำเกษตรกรรมธรรมชาติค่ะ พระเอกเป็นผู้ชายบ้านนอกธรรมด๊า ธรรมดา การศึกษาไม่สูง วันหนึ่งจับพลัดจับผลูได้มาเจอกับเจ้าของเรือนไทยที่มีที่ดินเตรียมไว้ สำหรับปลูกป่าที่จังหวัดระยอง ก็เลยจ้างพระเอกเป็นคนเฝ้าบ้าน (เรือนไทย) และปลูกป่าให้ และก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายระหว่างที่พระเอกอยู่ที่นั่น ส่วนนางเอกก็เป็นลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน ออกแนวแก่นเซี้ยวหน่อยค่ะ และนางเอกจะตั้งแง่กับพระเอกตั้งแต่แรกพบ แต่พระเอกก็ปิ๊งนางเอกแต่แรกพบเหมือนกัน เรื่องนี้อ่านแล้วนึกถึงอารมณ์ประมาณละครเรื่อง ดาวเรือง ที่จอห์นนี่ แอนโฟเน่ กับอุ้ม สิริยากร เล่นอ่ะค่ะ คือบรรยากาศจะเป็นแบบบ้านๆ ลูกทุ่งๆต่างจังหวัด

พระเอกเรื่องนี้ชื่อ ขวาง นามสกุล บ้านแม่น้ำ (ชื่อแปลกมั่กๆ! อิอิ) เป็นผู้ชายบ้านๆที่หน้าตาดี ผมยาว หน้าหวาน เวลาเผลอหรือตกใจจะพูดเหน่อเพราะเป็นคนสุพรรณ (นึกถึงบอสพูดเหน่อสุพรรณก็ขำแล้ว 555+) นิสัยกวนๆนิดๆ ใจนักเลง แต่ไม่พูดมาก เงียบแต่ไม่หงิม เป็นหนุ่มบ้านนอกที่ดูแสนจะต่ำต้อยและมีแต่ตัว แต่มีอุดมการณ์หนักแน่น หยิ่งอยู่ลึกๆและเป็นตัวของตัวเองมาก มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง เป็นนักอ่านหนังสือตัวยง ถ้าบางทีอารมณ์ดีๆก็เป็นนักเขียนนักกวี (แบบบ้านๆ) ได้ด้วย ชอบกินเหล้า (เมาแล้วหลับหรือไม่ก็เมาแล้วอารมณ์กวีเข้าสิงประจำ อิอิ - อันนี้ตามบทประพันธ์นะคะ) ไม่ชอบการพนันและเล่นหวย แต่คนในหมู่บ้านชอบตั้งให้เป็นเจ้าพ่อใบ้หวยตลอด (เอิ๊กๆๆๆๆ) ปลูกต้นไม้เก่งมาก แถมชอบคุยกับต้นไม้ที่ตัวเองปลูกด้วย (อันนี้น่ารักค่ะ อ่านแล้วขำแบบอมยิ้มตามได้ทั้งเรื่อง อิอิ) จริงๆพระเอกในเรื่องน่าจะอายุประมาณ 25-26 แต่หน้าบอสก็ยังได้สบายๆสำหรับอายุขนาดนี้นะ ^^

ส่วนนางเอกเป็นลูก ผู้ใหญ่บ้าน ชื่อชำมะเลียง (นี่ก็ชื่อแปลกอีกคน! อิอิ) อายุประมาณยี่สิบต้นๆ ถ้าให้เลือกคนที่ไม่เคยเล่นกับบอสมาก่อน นึกถึงมาร์กี้ค่ะ ดูแก่นๆ ลุยๆ สดใสร่าเริงได้น่ารักน่าเอ็นดูดีค่ะ

ที่ เลือกเรื่องนี้เพราะว่าอ่านแล้วสนุกดีค่ะ ชอบบรรยากาศแบบชนบทไทยๆ เรื่องราวต่างๆในเรื่องก็สามารถแทรกเหตุการณ์หรือปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุค สมัยได้ง่าย ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการเกษตรแบบธรรมชาติด้วย และยังมีบทสนทนาที่ตัวละครสะท้อนให้เห็นถึงการอยู่กับธรรมชาติ เชื่อมโยงกับวิถีการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย เหมาะจะทำเป็นละครแบบครอบครัว เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ประมาณนั้น อิอิ




0000000000000000000000000000000000000



โดย: มญ IP: 85.226.196.127 วันที่: 27 มกราคม 2553 เวลา:22:57:37 น


จะเป็นการทำร้ายจิตใจแฟนคลับมากเกินไปไหม
ถ้าจะบอกว่า นิยายที่อยากให้ดริวเล่นคือ "คำพิพากษา" ของ ชาติ กอบจิตติ
เคยดูเรื่องนี้นานมาแล้ว ตอนนั้นซูโม่ตุ๋ยเล่นกะอภิรดีถ้าจำไม่ผิด และล่าสุดก็ ใครหนอ จำชื่อไม่ได้ เล่นกะตั๊ก บงกช

เราอยากเห็นดริวเล่นกะ พลอย เฌอมาลย์ อยากเห็นพลอยบ้า
และอยากเห็นดริวพลิกบทบาทมาเป็นคนขี้เมา ที่เก็บกดจากสังคม
ต้องยอมรับว่าซูโม่ตุ๋ยกะอภิรดีเล่นไว้ดีมาก
แต่เวอร์ชั่นล่าสุดที่เป็นหนัง "ไอ้ฟัก" ไม่ได้ดู
ถ้าจะเป็นละคร ก็ต้องบอกว่าเป็นละครที่เครียด และแรง

แต่เป็นละครที่มีสาระ เนื้อเรื่องและข้อคิด ขออนุญาต ก๊อปมาวางนะคะ


นวนิยาย เรื่อง “คำพิพากษา” ฝีมือของนักเขียนนามว่า ชาติ กอบจิตติ งานเขียนชิ้นนี้เป็นงานเขียนที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอด และสามารถคว้ารางวัลซีไรต์ ประจำปี พ.ศ.๒๕๒๕ มาครองไว้ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อพิสูจน์หรือยืนยันได้อย่างสนิทใจว่า นวนิยายเรื่องคำพิพากษาจะดีเสมอไป ด้วยเหตุว่าซีไรต์เป็นเพียงคำตัดสินของผู้อ่านเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น และนวนิยายเรื่องนี้จะดีหรือไม่ เป็นสิ่งที่ผู้อ่านทุกคนจะพิพากษาเรื่องนี้ด้วยตัวของท่านเองสำหรับบท วิจารณ์นี้ เป็นเพียงแง่คิดในมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น ซึ่งผู้อ่านแต่ละท่านอาจมีแง่คิดที่แตกต่างไปจากมุมมองในบทความวิจารณ์นี้ก็ เป็นได้ และสำหรับบทความวิจารณ์นี้ขอกล่าวไว้เป็นเบื้องต้นว่า “โศกนาฏกรรมที่มนุษย์กระทำและถูกกระทำอย่างเยือกเย็นในภาวะปรกติ” ที่ชาติ กอบจิตติได้เขียนขึ้นมานี้ กระแทกใจผู้อ่านได้ไม่น้อยทีเดียว
คำ พิพากษาเป็นเรื่องราวอันเกิดขึ้นจากความคิดที่มองโลกไว้ในแง่ร้ายแรงที่สุด โดยผู้เขียนได้สร้างโศกนาฏกรรมทางจิตใจให้กับผู้อ่านไว้อย่างน่ารันทด ต้องขอยอมรับและยกย่องผู้เขียนในกรณีที่ผู้เขียนมีความกล้าที่จะหยิบยื่นมุม ร้ายที่สุดของความเป็นมนุษย์ให้กับมนุษย์ด้วยกัน โดยที่ไม่กลัวเลยว่ามนุษย์เหล่านั้นจะคล้อยตามกับมุมมองของเขาหรือไม่ งานเขียนเรื่องคำพิพากษา อาจเป็นงานเขียนที่ต่างจากงานเขียนนวนิยายทั่วไปที่ส่วนใหญ่มุ่งเน้นเพื่อ ความบันเทิงอารมณ์ และมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ(ร่ำไป) แต่ก็ยังมีนวนิยายที่เขียนในลักษณะโศกนาฏกรรมอยู่บางเรื่องที่ชาติ กอบจิตติเขียนไว้ อาทิ พันธุ์หมาบ้า ซึ่งก็ร้ายพอๆกับคำพิพากษา นวนิยายเรื่องคำพิพากษา เป็นนวนิยายที่สะท้อนจิตใต้สำนึกในความเป็นมนุษย์ออกมากระแทกใจผู้อ่านให้ ได้รับความเจ็บปวดทรมานทางความรู้สึก ฟักซึ่งเป็นคนดีถึงขั้นที่ทุกคนยกย่องให้เป็น “คนหนุ่มตัวอย่างของตำบล ” (หน้า๑๐) จนชาวบ้านสั่งสอนลูกของตนว่า “มึงไม่เอาอย่างไอ้ฟักมันบ้าง ได้สักครึ่งของมันกูก็เบาใจ ” (หน้า๑๑) แต่แล้วคำพูดของชาวบ้านก็เป็นอันต้องหมดหายไป ด้วยสภาวะต่างๆที่ฟักได้เผชิญ การถูกบีบคั้นจากสังคมที่จ้อง ติฉินนินทา ประณามการกระทำที่ทุกคน “คิดเอาเอง” หรือ “เข้าใจผิด” ว่าฟักได้เสียกับเมียของพ่อ แล้วสังคมก็ค่อยๆหยิบยื่นความเลวร้ายต่างๆให้กับฟัก โดยที่ฟักเอง “รู้ตัว” แต่ไม่สามารถดิ้นรน หรือปฏิเสธต่อคำครหา(พิพากษา)ของชาวบ้านได้ และแล้วฟักก็หันหน้าเข้าสู่ “เมรัยโลก” ท้ายที่สุดฟักก็กลับกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจในสายตาของทุกคนในหมู่บ้าน จน“แม่บางคนที่ลูกเล็กๆร้องกวนใจ ปลอบอย่างไรไม่ยอมเงียบ เป็นที่หนวกหูรำคาญ ก็มักจะขู่ลูกว่า ถ้าไม่เงียบเดี๋ยวไอ้ฟักมาจับตัวไป ”(หน้า๒๒๗)
เค้าโครงของเรื่องราวที่ผู้เขียนได้วางไว้ โดยแบ่งออกเป็น ๓ ตอนคือ นำเรื่อง ในร่างแห และ สู้อิสระ หากเราพิจารณาในตอนสุดท้ายของเรื่องว่า อิสระที่ผู้เขียนต้องการแสดงในเรื่องคืออะไร ปริศนานี้ฟักเองเป็นผู้ค้นหา นั่นก็คือ “ความตาย” ความตายที่ทุกคนยินดี และมีเพียงน้ำตาของสมทรงเท่านั้นที่หลั่งไหลให้กับฟัก นอกจากนั้นแล้วมีแต่รอยยิ้มทั่วหมู่บ้าน ในแง่ของแนวคิดที่เป็นแก่นของนวนิยายเรื่องคำพิพากษา เจตนาของผู้เขียนมุ่งชี้ให้เห็นว่า การนินทาว่าร้าย อาจมีผลทำให้ผู้ถูกนินทาประสบหายนะของชีวิต การที่ฟักเป็นบุคคล ซึ่งไม่ต่างอะไรจากคนในหมู่บ้าน แต่การถูกนินทาว่าร้าย เหยียดหยันอย่างไม่ใยดีจากทุกคนในหมู่บ้าน ทำให้ฟักไม่มีอำนาจต่อรองอันใด สังคมกลับกลายเป็นตัวกำหนดชีวิตฟัก ผู้แต่งเองไม่ได้เน้นถึงแรงกดดันทางกายภาพ ความจนของฟักกับความบ้าบิ่นของนางสมทรงก็ยังมีอยู่บนโลกใบนี้ และยังมีหนทางที่จะประทังชีวิตต่อไปได้ แต่สิ่งที่ทำให้ฟักต้องพินาศ นั่นคือสิ่งแวดล้อมทางสังคม ที่มนุษย์เป็นผู้ก่อและผู้ทำลายทั้งสิ้น และแม้แต่ศาสนาก็ช่วยอะไรฟักไม่ได้อีกแล้ว เวรกรรมที่ฟักเคยมีความละอายต่อมันจึงไม่มีค่าอะไร ฟักจะต้องเกรงกลัวต่อสิ่งเหล่านั้นทำไมเล่า ในเมื่อฟักเองได้ประจักษ์แล้วว่าความดีไม่ได้ช่วยให้ความเลวร้ายที่เกิดขึ้น ในชีวิตของเขากลับกลายเป็นสิ่งดีๆขึ้นมาบ้างเลย และเมื่อสุราได้นำพาให้ฟักหลุดออกจากความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ ฟักจึงยอมจำนนต่อน้ำเปลี่ยนนิสัย จิตใจแห่งความเป็นคนดีมีคุณธรรมเริ่มดับสิ้นสูญสลาย ฟักปลดตัวเองสู่อิสระ หลุดพ้นจากสังคมที่เลวร้าย สู่ความตายที่นิรันดร์ เมรัยที่ฟักเคยบอกว่า “สุรายาเมาอย่าว่าแต่กินเลย มองยังไม่อยากมอง”(หน้า๕๒) ก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ฟักอยากจะมองมันทุกวันอย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย
ประเด็น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเรื่องคำพิพากษา เป็นความขัดแย้งที่เกิดจากสังคม(ความขัดแย้งภายนอก) และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตนเอง(ความขัดแย้งภายใน) ความขัดแย้งภายนอกคือความขัดแย้งกับสังคม กฎเกณฑ์ที่สังคมหรืออาจเรียกว่า “คนอื่น” เป็นผู้สร้างขึ้น บีบบังคับให้ฟักกลายเป็นผู้ต้องตราบาป ต่อคำติฉินนินทา ต่อกิริยาผลักไสอย่างไม่ใยดี จากความขัดแย้งภายนอกที่เกิดขึ้น ฟักจึงคิดอยู่กับตนเองทุกคืน ความขัดแย้งภายในก็เกิดขึ้น สมทรงเป็นต้นเหตุของคำครหาต่างๆ ฟักเองก็รู้เรื่องนี้ดี ความคิดเอาเองของชาวบ้านทำให้ฟักต้องคิดที่จะเลือกทิ้งนางสมทรงแทบทุกคืน แต่ความกตัญญูที่มีต่อพ่อและความเวทนาสงสาร เป็นสิ่งที่สำคัญในจิตใต้สำนึกของฟักเสมอ
สำหรับตัวละครที่ผู้เขียนจับมา เล่นอยู่ในนวนิยายเรื่องคำพิพากษา จะมีอยู่สองลักษณะด้วยกัน ลักษณะแรกคือ ตัวละครที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ บุคลิก ตามสภาพแวดล้อมใดๆ ต้นเรื่องเป็นอย่างไรท้ายเรื่องก็เป็นอย่างนั้น ตัวอย่างในเรื่องนี้คือ “นางสมทรง” คือบ้าตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ในลักษณะที่สองคือ ตัวละครที่มีการเปลี่ยนแปลงบุคลิกลักษณะในบางด้านไปตามสภาพแวดล้อมที่เกิด ขึ้น บทบาทนี้ต้องยกให้ “ไอ้ฟัก” ตัวเอกของเรื่องที่กลมและกลิ้งได้ตลอดเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ จากคนดีจนเป็นถึงคนหนุ่มตัวอย่าง กลับกลายเป็นคนขี้เมาและจบลงด้วยสภาพการตายอย่างหมาข้างถนน
ต้องยอมรับ ว่า ชาติ กอบจิตติ เขียนนวนิยายเรื่องนี้ด้วยความกล้าและตั้งใจจริง มีความเพียรพยายามที่จะสร้างฉากแต่ละฉาก โดยผู้เขียนมีความคิดในการสร้างสรรค์ฉากต่างๆตามจินตนาการได้อย่างสมจริง และอาศัยทักษะทางด้านการใช้ภาษาบรรยายให้ผู้อ่านจินตนาการภาพขึ้นมาได้ทันที เช่น
“แสงสว่างเพิ่มมากขึ้นเมื่อหน้าต่างบานที่สามเปิดออก โต๊ะครูประจำชั้นอยู่ด้านขวาของกระดานดำเก้าอี้ถูกดันเก็บไว้ในลักษณะชิดกับ ตัวโต๊ะ บนโต๊ะมีกล่องชอล์กสีกากี และแจกันแก้วสีแดงซึ่งเสียบไว้ด้วยดอกเยบิร่าสีแดงคล้ำ ดอกเหี่ยวห้อยกลีบดอกลู่ย้อยพาดลงกลางแจกันแสงสว่างส่องเข้ามาทำให้เงาของ แจกันที่ระนาบลงบนโต๊ะมีสีแดงเรื่องเจืออยู่ด้วย” (หน้า๒๑-๒๒)
หรือ
“แสง จันทร์ถลันส่องเข้ามาภายในกระต๊อบจึงมีแสงพอได้มองเห็น จัดการจุดตะเกียงกระป๋องสว่างขึ้น แสงตะเกียงขับไล่แสงจันทร์ออกไปจากกระต๊อบ” (หน้า ๑๐๐)
อีกฉากที่ผู้อ่าน บางคนอาจคิดไม่ถึงในความหมายที่ซ้อนอยู่ คือ ฉากที่ฟักฆ่าสุนัขน้ำลายฟูมปากตายอย่างน่าสลด หากจะคิดในมุมกลับกัน ฟักก็ไม่ต่างอะไรจากสุนัขตัวนั้น สุนัขที่ยังไม่เคยได้ทำร้ายใครก่อนเลยและไม่รู้ว่ามันบ้าจริงหรือเปล่า แต่ทุกคนก็สรุปให้มันบ้าโดยสภาพ ดังนั้นไอ้ฟักก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัขที่ถูกชาวบ้านใส่ความให้โดยสรุปเอาเอง ว่าฟักได้เสียกับเมียพ่อโดยสภาพเช่นกัน ฟักเองไม่ได้มองถึงความจนตรอกของตนเองที่ไม่ต่างอะไรกับสุนัขตัวนั้น และผู้ลงมือพิพากษา ความผิดปกติของสุนัขตัวนั้นจนถึงกับสิ้นชีวิตเพื่อสังเวยข้อตัดสินของชาว บ้านก็คือ ฟัก ไม่เฉพาะแต่เหตุการณ์นี้เหตุการณ์เดียวเท่านั้น การที่ฟักดูหมิ่นลุงไข่ ผู้เป็นสัปเหร่อว่าต่ำต้อยกว่าฐานะภารโรงอย่างตน นี่เป็นสิ่งที่ฟักเองได้พิพากษาลุงไข่ และเห็นจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฟักจะคิดแบบนี้ได้ เพราะ “ถ้าจับคนในตำบลมายืนเรียงแถวกัน ตามฐานะหน้าตาในตำบล ข้า (ลุงไข่) ก็ต้องอยู่ท้ายแถววันยังค่ำ เพราะข้าเป็นคนต่ำต้อย เป็นแค่สัปเหร่อ แต่ตอนนี้ซี่ เอ็งกับข้ามันก่ำกึ่งกันอยู่ว่าใครจะยืนอยู่ท้ายแถวกันแน่” (หน้า๑๔๑)
เรื่องคำพิพากษานั้นเรียกได้ว่าใช้ภาษาและกลวิธีการประพันธ์ ในรูปแบบของจิตสำนึก ในลักษณะการพูดกับตัวเองของฟัก นั่นก็แสดงถึงผู้เขียนได้ใช้สำนึกของตัวเองผสานเข้ากับสำนึกของตัวละคร บทสนทนากับตัวเองที่ผู้เขียนกรองภาษามาใช้ได้อย่างประทับใจ ในทุกครั้งที่ฟักครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆอยู่กับตัวเองก่อนนอน ตัวอย่างเช่น ตอนแรกฟักดีใจที่ลุงไข่เชื่อคำพูดของเขาเกี่ยวกับเรื่องแม่เลี้ยง “เขานอนคิดถึงแต่เรื่องราวที่ได้พูดกับลุงไข่ ไม่ได้ยินเสียงแมลงกลางคืนส่งเสียงไม่รู้ว่าหลับตาหรือลืมตากันแน่ รู้แต่เพียงว่าในหูนั้นมีคำพูดของลุงไข่ก้องอยู่ “ข้าเชื่อเอ็ง” “ข้าเชื่อเอ็ง” ในที่สุดหัวสมองของเขาก็มีเหลืออยู่เพียงคำพูด “ข้าเชื่อเอ็ง” ลอยอยู่โดดๆ” (หน้า ๑๑๐) แต่พอฟักเริ่มสนทนากับตัวเองนานเข้า เขากลับคิดค้านความเชื่อในตอนแรกนั้นเสีย จนสุดท้ายเขากลับคิดว่าลุงไข่หลอกเขา “ยิ่งคิดยิ่งหาเหตุผล คำว่า “...-ข้า...เชื่...อ...เอ็” ก็ค่อยๆ ละลายหายไปทุกที ในที่สุด ในใจเขาเหลืออยู่เพียงว่า “...ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์มันหลอกมึง” และในส่วนลึกนั้นรันทด...”(หน้า๑๑๑)
เป็นอันว่า เหตุผล เข้ามาทำลาย ความเชื่อได้อย่างง่ายดายนั้นหรือ เหตุผลก็มาจากประสบการณ์นั่นเอง เราน่าจะเห็นใจฟักว่าในเมื่อเขาไม่เคยได้พบใครที่เชื่อคำพูดเขาเลยเมื่อมาพบ คนๆ หนึ่งที่กล่าวว่าเชื่อเขา จะให้เขาเชื่อว่าคนๆนั้นเชื่อเขาได้สนิทใจอย่างไร ด้วยสภาพของโลกที่คุณค่าแห่งมนุษยธรรมหายไปจนเกือบหมดสิ้น เมื่อฟักพบน้ำมิตรที่แท้จริงเข้า เขาก็ย่อมจะต้องมองไม่เห็น แต่ผู้แต่งก็ยังให้โอกาสที่สองกับฟัก และฟักก็ยังมีความเป็นมนุษย์พอที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ จนกระทั่งฟักสารภาพกับลุงไข่ว่าเขาเข้าใจลุงไข่ผิดไป เป็นฉากที่ให้แสงสว่างแห่งความเป็นมนุษย์ออกมาบ้างในเรื่องที่เกือบจะมืด สนิท
ภาพสะท้อนที่เกิดขึ้นในเรื่องคำพิพากษา ล้วนแต่ให้ข้อคิดในแง่มุมต่างๆ ฝากไว้แก่ผู้อ่านและสังคมนี้อย่างมากมาย โดยเฉพาะข้อคิดที่ว่า สังคมมีอิทธิพลต่อความหายนะของคน สุราไม่ใช่ทางออกของปัญหา และความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี เราทุกคนซึ่งอยู่ในฐานะเป็นผู้อ่าน ไม่อาจจะกล่าวได้ว่าเรื่องนี้ใครถูกใครผิดอย่างไร ฟักเองก็ไม่ได้เป็นคนดีเสมอไป เพราะในเรื่องฟักก็ทำผิดศีลถึง ๓ ข้อ คือ ฆ่าสุนัข โกหกหลวงพ่อ และดื่มสุรา แต่อีกมุมหนึ่ง ชาวบ้านเองก็รู้เท่าไม่ถึงการณ์ คือเข้าใจผิดว่าฟักได้เสียกับเมียของพ่อ อย่างไรก็ตามคงไม่มีผู้อ่านสักกี่คนที่ขาดความอ่อนไหวทางอารมณ์ หรือขาดความสำนึกในความผิดชอบชั่วดี เสียจนไม่มีความรู้สึกว่า ความตายของฟัก เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความหยาบกระด้างในจิตใจของมนุษย์ด้วยกันเอง เราควรจะขอบคุณ ชาติ กอบจิตติ ที่กล้าเสนอตัวเข้ามารับบทบาทของนักเขียน ที่พยายามแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและก็เป็นไปได้ที่ว่า การกระตุ้นคนให้เกิดความสำนึกในเรื่องของศีลธรรมนั้น อาจทำได้ด้วยการวาดภาพของโลกที่ขาดศีลธรรม และคำพิพากษา ก็ยังคงต้องทำหน้าที่พิพากษาความเสื่อมของมนุษย์ที่ดำเนินชีวิตต่อไป




000000000000000000000000000000



โดย: ตะวัน IP: 61.7.181.197 วันที่: 28 มกราคม 2553 เวลา:13:01:19 น.


อิ๊ๆๆเราอยากเสนอนิยายเรื่อง ...ลมซ่อนรัก....นราเกตต์
เนื้อเรื่องนำ:
ภัทริน หญิงสาวผู้อ่อนต่อโลก หลงคิดว่าเพื่อนชายมอบความรักให้ด้วยใจจริง มารู้ตัวว่าถูกเขาหลอกใช้เป็นเครื่องมือ ก็เมื่อวันต้องรับชดใช้ในสิ่งที่เขาใส่ร้ายป้ายสี

วันเวลาที่ซมซานกลับบ้านเกิดที่เมืองเหนือไปพักรักษาแผลใจ ภัทรินได้รับข้อเสนอจากปราณนต์ คุณหมอผู้มีอุดมการณ์ ให้แต่งงานหลอก ๆ กับเขาเพื่อตบตาบิดา แลกกับเงินก้อนใหญ่ให้หญิงสาวนำไปใช้หนี้
ภัทรินตกสู่วังวนของการหลอกลวงอีกครั้ง...หลอกพ่อแม่เพื่อนพ้องของทั้งสอง ฝ่ายว่าได้ร่วมหอลงโรงกันนั่นหนึ่งละ สองคือหลอกตัวเองว่าไม่ได้รักกัน...แต่จะทำได้ง่าย ๆ หรือ
การหลอกลวงยังคงเกิดต่อเนื่องไม่จบสิ้น จนกว่าคนทั้งคู่จะจูงมือกันเดินไปจนสุดทางรัก...
ถ้าแต่งงานกับเขาเธอจะได้เงินมาชดใช้หนี้
ไม่มีดอกเบี้ย ไม่จำกัดระยะเวลาใช้คืน หากหมดหนี้สินเมื่อไร
เท่า กับสิ้นสุดพันธสัญญาต่อกัน ทั้งคู่สามารถแยกไปตามทางของตนเอง เพราะเหตุนี้จึงไม่มีเรื่องพฤตินัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นเพียงแค่สมรสลวง

“ผมจะดูแลอย่างดี ..
ไม่มีวันทอดทิ้งหรือออกนอกลู่นอกทางใดๆ
ตลอดระยะเวลาที่ยังได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากัน
จนกว่าคุณเป็นฝ่ายบอกว่าเลิกร้าง แล้วผมจะปล่อยคุณไป”
เขากระซิบในความเงียบ “ว่ายังไง อยากแต่งงานกับผมไหม”
ชั่วอึดใจที่คำตอบจากหญิงสาวเสมือนเนิ่นนานเป็นนิรันดร์

เป็นไงแค่เนื้อเรื่องย่อก็สนุกแล้วใช่ไหมล่ะ ...ยิ่งตัวพระเอกคือคุณหมอปรานนท์นะเราชอบสุดๆ คนอะไรน่ารักเวลาอ่อนโยนก็อ่อนโยนซะ เวลากวนประสาทชอบแกล้งนางเอกก็ปากจัดได้ใจ
เราว่าบทเรื่องนี้แอนดริวควรจะเล่นเป็นอย่างยิ่ง เหมาะกับแอนดริวมากๆเลยล่ะ แถมยังได้แสดงฝีมือเล่นเป็นฝาแฝดเป็นครั้งแรกด้วย ซึ่งบทนี้แอนดริวยังไม่เคยเล่นเลยนี่



0000000000000000000000000


โดย: สาวเทคนิค IP: 114.128.57.220 วันที่: 28 มกราคม 2553 เวลา:23:45:52 น.


" บุหลันรายา " ของ อาริตา ค่ะ "รายา...เจ้าชายโจรสลัด"
"ฉายบุหลัน...ราชนารีสาวงาม"กับคำทำนายของโหรที่ว่า
"รายาหนุ่มผู้กล้า จะหาญท้าปิตุรงค์เพื่อสงคราม
หวัง จะเลื่องชื่อลือนาม ใครห้ามมิฟัง...มิยั้งใจ ชะตาชีวิตผกผันจนเกือบสูญสิ้น เมื่อความรักความภักดีถูกแทนที่ด้วยคำสั่งประหาร รายาเจ้าชายหนุ่มก็หมดหัวใจที่จะถวายรองบาท เมื่อชีวาจะถึงฆาต...ราชนารี ฉายบุหลัน ก็เหมือนแสงแห่งจันทราบนฟ้างามที่มีใจห่วงหาดูแล..." เรื่องนี้พระเอกเป็นเจ้าชายค่ะ มีพ่อเป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็ง เก่งเรื่องการรบ และที่โปรดปรานมากที่สุดคือผู้หญิงมีสนมมากมายแต่ไม่เคยแต่งตั้งใครเป็นรานี แทนที่พระมารดาขององค์รายาเลย จนกระทั่งเมื่อเสด็จไปเที่ยวเมืองอโยธยาและเจ้าเมืองอโยธยาประทานของกำนัล เป็นหญิงผู้หนึ่งที่มีลูกเป็นชายวัยใกล้เคียงกับรายาทรงนำนางกลับมาด้วยและ ประกาศแต่งตั้งนางขึ้นเป็นรานีแทนที่พระมารดานางเป็นใครกัน...และได้คำตอบ เมื่อบุหงาแม่นมเล่าให้ฟังว่านางเคยเป็นสนมเก่าและถูกเนรเทศออกไปจากเมือง เมื่อหลายปีก่อน บัดนี้นางได้กลับมาย่อมไม่เป็นผลดีต่อองค์รายาแน่นอน รายานั้นมีลุงทางแม่เป็นผู้ครองเกาะและเป็นโจรสลัดส่วนลุงทางพ่อนั้นเป็น ฝาแฝดกับพระบิดาแต่นิสัยแตกต่างกันและถูกพระบิดาเนรเทศให้ไปอยู่บนเกาะร้าง ห่างไกลผู้คนห้ามรายาไปมาหาสู่ด้วยแต่รายาหาฟังไม่ยังคงแอบดำน้ำและเอาสิ่ง ของอาหารไปส่งให้อยู่เป็นประจำจนวันหนึ่ง หลังวันสถาปนาสองแม่ลูก ตันหยง และการีสให้ได้เป็นองรานีและเป็นเจ้าชายเทียบเท่ารายา องค์รายาก็หายไปโดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น เมื่อครบถึงสามวันที่รายามิได้เข้าเฝ้าก็มีข่าวลือว่าองค์รายาไม่พอใจการ แต่งตั้งและแล่นเรือออกไปในท้องทะเลไม่กลับเข้าฝั่ง ประกอบกับคำทำนายของเปอตูโหรเฒ่าว่าองค์รายาจะย้อนกลับมาประหารบิดาทรงกริ้ว ยิ่งนักมีรับสั่งหากผู้ใดพบเห็นองค์รายาให้ประหารได้ทันที ไม่มีผู้ใดรู้ชะตากรรมของรายาที่ถูกจับกุมขังไว้ที่คุกมืดท่ามกลางคำ บัญชาการของตันหยงรานีองค์ใหม่และการีสบุตรชายผู้มากไปด้วยโทสะร้ายของนาง "ข้ามาจากบาเกา มาเป็นเครื่องราชบรรณาการ การขึ้นเป็นรานีของแม่เจ้าทำให้ข้าถูกให้ร้ายจนอยู่ที่นี่ไม่ได้"
บา เกาเป็นเกาะเล็กๆที่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาสะรีรันตาทุกปี และปีนี้สิ่งที่สะรีรันตาต้องการคือราชนารีหนึ่งในสามของบาเกาและหอยมุกสี ครมน้ำเงินเกือบดำ ฉายบุหลัน ราชนารีองค์กลางอาสาไปเป็นเครื่องราชบรรณาการไปสะรีรันตาเองโดยเปลี่ยนให้ นางกำนัลคนสนิทปลอมเป็นราชนารีแทนองค์ ในคำคืนก่อนเดินทางได้ออกมาดำน้ำเพื่อหาหอยมุก แต่กลับได้พบกับร่างของรายาที่บอบช้ำกำลังถูกถ่วงน้ำจึงช่วยไว่ได้ทัน" อยากเห็นพระเอกของเราเป็นแบบนี้ค่ะหนวดเครารกแทบมองไม่เห็นหน้า(เซ็กซี่มากๆ ค่ะแถมเป็นโจรสลัดนี่ต้องนุ่งน้อยห่มน้อยนะคะ จะได้ตรงตามบทประพันธ์ มีนัยยะแอบแฝง) คู่กับ นางเอกขอเป็น มาร์กี้หรือว่า หยาดทิพย์ก็ได้ค่ะถึงแม้ว่าบทประพันธ์จะให้พระเอกมีอายุแค่ 19 ก็เหอะ แต่มั่นใจว่าของเราก็ได้อยู่นะ เรื่องนี้ถ้าได้ทำออกมาน่าจะได้เห็นท้องทะเลที่สวยงามมากๆ อยากเห็นพระเอกในมาดเซอร์มากๆแทบไม่ต้องแต่งหล่อเลย (แต่ยังไงก็หล่ออยู่ดีค่ะ )ถ้าได้ดูเรื่องนี้หาโลเกชั่นสวยๆคงอยากไปเที่ยวบ้างอะนะ




000000000000000000000


โดย: พอดี IP: 180.180.109.190 วันที่: 29 มกราคม 2553 เวลา:1:54:45 น.



อ้าวเราใจตรงกับนะคุณตะวัน
เรื่องที่จะนำเสนอคือ ลมซ่อนรัก ค่ะ แต่ขอดัดแปลงให้บทพระเอกเด่นหนะคะ

ปรา ณนต์ คุณหมอบ้านนอกผู้เปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ ทิ้งความสุขสบายในเมืองหลวง อาศัยอยู่อย่างสมถะในบ้านหลังเล็กกลางขุนเขาในอำเภอทางเหนือ อุทิศตัวให้คนไข้ในถิ่นกันดาร ได้พบกับภัทรินซึ่งซมซานกลับมาบ้านเกิด หลังจากถูกชายคนที่เธอรักด้วยใจจริงหลอกใช้เป็นเครื่องมือพร้อมทั้งต้องรับ ชดใช้ในสิ่งที่เขาใส่ร้ายป้ายสี ปราณนต์ ยื่นเข้อสนอกับภัทรินให้แต่งงานหลอกๆกับเขา เพื่อตบตาบิดา แลกกับเงินก้อนโตให้หญิงสาวไปใช้หนี้ โดยไม่มีเรื่องพฤตินัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ในงานแต่งงานภัทรินได้รู้ว่า ปราณนต์มีฝาแฝดชื่อ ปราณ

เพราะมีใจให้กันอยู่แล้วจึงไม่ยากที่ทั้ง สองจะตกหลุมรักกันในที่สุด แต่แล้วสายลมแห่งความสุขก็พัดผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อหมอปราณนต์ประสบ อุบัติเหตุ ระหว่างร่วมเดินทางไปกับขบวนแพทย์อาสา บาดเจ็บสาหัส เพื่อสะดวกในการดูแลคนป่วย ภัทรินมาอยู่บ้านพสุวัฒน์บิดาของหมอปราณนต์ ปราณฝาแฝดผู้พี่ก็อยู่ที่นี่ด้วย

หมอปราณนต์ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับ ความทรงจำบางส่วนหายไป เขาจำหลายคนไม่ได้แม้แต่ภรรยาตัวเอง แต่กลับจำ อัณณา ลูกสาวของเพื่อนพ่อที่สนิทสนมกันมาแต่เด็ก และทำงานเป็นผู้ช่วยปราณในการบริหารงานที่บริษัท ภัทรินเสียใจมากเมื่อเห็นทั้งคู่สนิทสนมกันส่วนเธอเป็นเหมือนคนนอก ขณะเดียวกันก็สับสนหวั่นไหวกับการแสดงออกหลายอย่างของปราณต่อเธอ ปราณเห็นใจภัทรินเรี่องปราณนต์ที่เปลี่ยนไป เลยให้มาทำงานที่บริษัทเขา ทำให้ภัทรินได้พบกับ ธนาฒน์ อดีตคนรักที่เธอไม่ต้องการพบหน้าอีกตลอดชีวิต ธนาฒน์บังคับให้ภัทรินช่วยแผนการใหม่ของเขาโดยขู่ว่าจะทำร้ายคนที่เธอเกี่ยว ข้องด้วย เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วก็คิดกำจัดหญิงสาว ปราณมาช่วยไว้ได้ทันแต่เขาถูกยิง บาดเจ็บสาหัส

จากเหตุการณ์นี้ ความจริงก็ถูกเปิดเผย คนที่เธอเข้าใจมาตลอดว่าเป็นปราณ ที่อยู่กับเธอมาตลอดระยะหลัง แท้จริงแล้วคือ ปราณนต์ พวกเขาสลับตัวกันเพื่อแผนการที่จะรักษาธุรกิจของพ่อเอาไว้ โดยทุกคนรู้แผนนี้มาโดยตลอด การแต่งงานของเธอกับปราณนต์ก็เป็นการจัดฉากขึ้นมา ภัทรินเสียใจมากที่ถูกหลอกอีกครั้ง กลับมาอยู่บ้านหลังเล็กที่ขุนผาหมอก หมอปราณนต์ตามมาขอคืนดี ยอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่เขารักจนภัทรินใจอ่อนให้อภัยเขาในที่สุด
................

ต้น ฉบับจะเน้นฝ่ายหญิงนิดนึง เลยขอปรับให้พระเอกนำแทน เนื้อเรื่องไม่เครียดมีฉากกุ๊กกิ๊กน่ารักเยอะ ไม่มีตัวอิจฉาที่มาคอยกรี๊ดกร๊าดกวนใจ นอกจากตัวร้ายที่เป็นอดีตแฟนนางเอก

อยาก เห็นดริวเล่นบที่สบายๆบ้าง เรื่องนี้พระเอกนอกจากเป็นหมอที่อุทิศตัว รักการมีชีวิตที่เรียบง่ายแล้ว ยังเปลี่ยนความคิดนางเอกที่เคยยึดติดกับความเจริญในเมืองกรุงมาเห็นคุณค่า ชีวิตพอเพียงด้วยนะ ทำอาหารก็ได้ (นางเอกเป็นลูกมือ) เล่นซึงก็เพราะจนนางเอกติดใจแอบมาฟังบ่อยๆเ ที่สำคัญรักนางเอกมาก คิดว่าคนดูจะรักตัวละครนี้แน่นอน อีกอย่างได้ดูดริวย่างจุใจเพราะต้องเล่นสองคนต่างคาแรกเตอร์

นาง เอกตอนแรกไม่ชอบชีวิตชนบท เห็นสัตว์แปลกๆก็จะยี้ น่าจะเป็นแนวน่ารักเพราะรู้สึกว่าพระเอกประมาณชอบหมั่นเขี้ยวนางเอกนะ แบบเอ็นดู แซวเจ็บๆ เช่น "ลดน้ำหนักบ้างนะยาง(จักรยาน) แทบแตก" พยายามคิดถึงหยาดนะก็ยังไม่โดนเท่าไร ใครมีไอเดียดีๆกระซิบบอกกันบ้างนะคะ




ความเห็น tewtew

รื่อง"ลมซ่อนรัก" นี่น่าสนแฮะ....อยากเห็นดริวเล่นเป็นแฝดเหมือนกันค่ะ..สงสัยเราต้องไปหาอ่าน กันแล้วล่ะน้องโม....จะได้ช่วยกันเม้นว่าสนุกจริงๆ...เนอะ


0000000000000000000000000000000




โดย: nidnoi IP: 203.144.144.165 วันที่: 30 มกราคม 2553 เวลา:18:38:13 น.


เรื่อง "นิรมิต"บทประพันธ์ของแก้วเก้า หรือว.วินิจฉัยกุลค่ะ เรื่องนี้เคยทำเป็นละครทีวีแล้วเมือปี 40 โดยบริษัทดาราวีดีโอ แสดงโดยเบิร์ด ธงไชย กับป๊อป อารียา

โดยโทนเรื่องออกจะเป็นแนวแฟนตาซี ความฝัน เกินความเป็นจริงนะคะ แต่ที่เลือกเรื่องนี้มาเพราะคิดว่าดริวน่าจะเล่นได้น่ะค่ะ และบทในเรื่องนี้ต้องแสดงถึง 3 ตัวละคร ซึ่งบุคคลิกแต่ละตัวก็ไม่เหมือนกันเลย ก็น่าจะเป็นบทที่ท้าทายกับดริวนะคะ คือเล่นทั้งเป็นบทคนดี และบทคนเลว(มากๆเลยค่ะ) ซึ่งแฟนละครดริวต้องคุ้มค่าแน่ ๆ ค่ะเพราะเล่นทีตั้ง 3ตัวละคร(มากกว่าเป็นฝาแฝดอีกนะคะ) จะได้ดูดริวเยอะ ๆ ไงคะ 5555

เรื่อง "นิรมิต"

ประเทศสาระซึ่งปกครองโดยเจ้าหอหน้าและเจ้านางหลวง มีบุตรชาย 2คน คือเจ้าเครือรัฐและเจ้าภูวง(พระเอก) โดยตำแหน่งเจ้าเครือรัฐพี่ชายต้องเป็นประมุขปกครองประเทศต่อไป วันหนึ่งเจ้าเครือรัฐและเจ้าภูวงได้เสด็จไปเยี่ยมราษฎรบนภูเขา ระหว่างนี้เอง 2 คนพี่น้องก็ได้ใช้ชีวิตตามประสาพี่น้อง โดยเจ้าภูวงเป็นคนที่ชอบศิลปะการวาดรูปมาก จิตใจอ่อนโยน ไม่ชอบการปกครอง การเมือง การทหาร ที่สำคัญเป็นคนที่มีลักษณะพิเศษคือสามารถทำให้รูปทีตัวเองวาดมีชีวิตขึ้นมา จริง ๆ ได้ และเจ้าภูวงได้วาดรูปลูกวางและนิรมิตให้ลูกกวางมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ โดยที่เจ้าเครือรัฐแอบซุ่มดูอยู่ จึงได้รู้ความลับของเจ้าภูวง เจ้าเครือรัฐเห็นว่าสิ่งที่ภูวงนิรมิตขึ้นมาเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ จึงห้ามภูวงไม่ให้ใช้อำนาจพิเศษนี้นิรมิตอะไรขึ้นมาอีก ภูวงก็ให้สัญญาแต่โดยดี...และการเยี่ยมราษฎรครั้งนี้เองทำให้เจ้าเครือรัฐ ป่วยไม่สบายเป็นไข้ป่าและเสียชีวิตในที่สุด ทำให้เจ้าภูวงต้องรับหน้าที่ปกครองประเทศแทนพี่ชาย ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายทางการเมือง มีการสู้รบกันเกิดขึ้นหลาย ๆครั้ง จนในที่สุดประเทศสาระก็เสียดินแดนและถูกยึดครองโดยประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เจ้าหอหลวง เจ้านางหลวง และเจ้าภูวงต้องเสด็จลี้ภัยทางการเมืองมาอยู่ที่ประเทศไทย เจ้าหอหลวงได้หมั้นหมายเจ้าแสงหล้า(นางร้าย)ให้กับเจ้าภูวง ซึ่งเป็นญาติสนิทกัน เจ้าแสงหล้าเป็นผู้หญิงที่อารมณ์ร้ายหยิ่งทะนงตนและเอาแต่ใจตัวเอง และชอบดูถูกว่าภูวงเป็นคนอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง เอาแต่วาดรูป ไม่สนใจกอบกู้บ้านเมือง

เจ้าหอหลวงลี้ภัยมาอยู่ที่ประเทศไทยได้ไม่ นานก็ป่วยไม่สบายและเสียชีวิตไป ก่อนตายเจ้าหอหลวงได้ขอให้เจ้าภูวงให้คำสัตย์สาบานว่าจะกอบกู้ประเทศสาระให้ กลับมาเป็นประเทศอีกครั้ง เจ้าภูวงจำใจต้องให้คำสัตย์สาบาน ทั้ง ๆที่ในใจของเขาไม่ชอบการปกครองบ้านเมืองเลย...และอีกไม่นานต่อมาเจ้านางหลวง ก็ป่วยไม่สบายและเสียชีวิตไปอีกคนหนึ่ง ทำให้เจ้าภูวงต่องเข้าร่วมกับนายพลแผนบุญนายทหารที่แอบซุ่มก่อตั้งขบวนการ กู้ชาติขึ้นมา เจ้าภูวงต้องทำทุกอย่างที่ไม่เคยทำ ทั้งฝึกทหาร สู้รบกับกองโจรในป่า ซึ่งเป้นสิ่งที่เขาไม่ชอบเลย แต่เพราะคำสาบานที่ให้ไว้กับเจ้าหอหลวงเขาจึงจำเป็นต้องทำ และในที่สุดภูวงก็ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชาย....ภูวงเกิดความกดดันมาก เขาตัดสินใจวาดรูปตัวเองด้วยอารมย์ที่โกธรแค้น และนิรมิตให้รูปนั้นมีชีวิตขึ้นมา ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนภูวงทุกอย่าง โดยให้ชื่อว่า ภังคี ซึ่งตัวภังคีนี้ถูกสร้างขึ้นมาตรงกันข้ามกับภูวงทุกอย่าง ภังคีเป็นคนกระด้าง แกร่งกล้า แข็งแกร่งและเหี้ยมเกรียม ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี จิตใจเหมือนหุ่นยนต์ ไม่รู้จักความอ่อนโยนและให้อภัย ภังคีทำทุกอย่างในชื่อของภูวงโดยที่ไม่มีใครรู้ นอกจากเจ้าแสงหล้า ซึ่งแสงหล้าเองก็ไม่รู้ว่าภังคีมาจากไหน แต่เธอก็ไม่สนใจและคิดว่าเป็นอำนาจของสางพญา(เป็นความเชื่อของชาวสาระ)แสง หล้าหลงรักในตัวภังคีมาก เพราะภังคีเข้มแข็งและเก่งกว่าภูวงทุกอย่าง แสงหล้าร่วมมือกับภังคีจับเจ้าภูวงขังไว้ในห้องใต้ดิน ไม่ให้เจอะเจอกับใครอีก...ภูวงเสียใจมากกับการที่เขาสร้างภังคีขึ้นมาแต่ไม่ สามารถควบคุมได้ แล้วหนำซ้ำยังกลับมาทำร้ายตนเองอีก แต่ภูวงไม่ใช่คนยอมแพ้ เขานิรมิตตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนภูวงทุกอย่าง โดยให้ชื่อว่า ไทวัน ซึ่งแปลว่าเทพหรือเทวดา ภูวงสร้างไทวันขึ้นมาด้วยความรู้สึกด้านดีเป็นเสมือนเทพหรือเทวดาที่มาคอย ช่วยภูวง

ไทวันรู้ว่ามีผู้หญิงเพียงคนเดียวที่จะช่วยภูวงได้ชื่อว่า ใกล้รุ่ง(นางเอก) เพราะว่าเธอมีประสาทสัมผัสที่หก สามารถมองเห็นเหตุการณ์บางอย่างในอนาคตได้ โดยเฉพาะจุดจบของคน ไทวันจึงได้ออกอุบายหลอกล่อให้ใกล้รุ่งเกิดความสนใจในเรื่องนี้ จนกระทั่งเธอสืบเสาะค้นหาและเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ในที่สุด.....ไทวันได้ เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับภูวงให้ใกล้รุ่งฟังทั้งหมด จนใกล้รุ่งยอมช่วยเหลือภูวง

ในที่สุดภังคีก็สามารถกอบกู้เอกราชคืนมา ได้ ภังคีและแสงหล้าเดินทางกลับไปปกครองประเทศสาระแต่จะต้องกำจัดภูวงเสียก่อน แต่ภูวงก็สามารถหนีออกมาได้ และได้พบกับใกล้รุ่งโดยความช่วยเหลือของไทวัน ใกล้รุ่งและภูวงเดินทางเข้าประเทศสาระเพื่อจะกำจัดภังคี เมื่อถึงสาระภูวงปลอมตัวเข้าไปเป็นคนสวนในหอหลวง ส่วนใกล้รุ่งปลอมตัวเป็นหญิงรับใช้แก่ ๆ คอยรับใช้เจ้าแสงหล้า....และวันหนึ่งในหอหลวงมีงานเลี้ยง ใกล้รุ่งแต่งตัวเป็นหญิงสาวสวยสง่า เมื่อภังคีเห็นก็พึงพอใจในตัวใกล้รุ่งมาก ใกล้รุ้งได้ใกล้ชิดกับภังคีมากขึ้น ๆ และในที่สุดใกล้รุ่งก็ได้ใช้สัมผัสที่หก สัมผัสมือภังคีจนสามารถมองเห็นและรับรู้เหตุการ์ณ์ในอนาคตว่าภังคีจะต้องตาย ด้วยไฟเท่านั้น ใกล้รุ่งจึงบอกจุดจบขอบภังคีให้ภูวงฟัง ภูวงจึงออกอุบายให้ใกล้รุ่งหลอกล่อภังคีมาที่กระท่อมในป่า ส่วนเจ้าแสงหล้าก็ล่วงรู้แผนการณ์จึงแอบตามมาเพราะความหึงหวงในตัวภังคี แต่ในที่สุดเจ้าแสงหล้าก็ถูกภังคียิงตาย และในกระท่อมนี้เองภังคีกับภูวงต่อสู้กัน ภูวงสู้ภังตีไม่ได้ ไทวันจึงเข้ามาช่วยไว้ และในระหว่างที่ไทวันต่อสู้กับภังคี ภูวงจึงหาจังหวะจุดไฟเผากระท่อม ภูวงและใกล้รุ่งหนีออกมาได้ ภังคีถูกไฟเผาไหม้ แต่ไทวันหนีรอดออกมาได้....ลึกๆ แล้วไทวันก็แอบมีใจหลงรักในตัวใกล้รุ่ง แต่เขารู้ว่าตัวเขาเป็นเพียงภาพมายาที่ภูวงสร้างขึ้นมาเท่านั้น เขาจึงตัดสินใจไปอยู่ในดินแดนนิรมิตดินแดนแห่งความฝันที่ไม่มีใครพบเขาได้ดี ก ภูวงกับใกล้รุ่งก็ครองรักกันจ้า จบแบบ HAPPY ENDING จ้า



ความจริงนิยายเรื่องนี้อ่าน ๆ ไปบางคนก็อาจจะไม่ชอบเพราะมันเกินความเป็นจริงนะคะ แต่อย่างที่บอกอยากเห็นดริวแสดงเป็นทั้งคนดีและคนเลวในเรื่องเดียวกันสัก เรื่องนึงอ่ะค่ะ

นางเอกเรื่องนี้ขอเสนอแอน ทองประสมนะคะ เพราะส่วนตัวชอบการแสดงของแอนค่ะ และคิดว่าแอนน่าจะแสดงได้เพราะแอนแสดงเก่งอย่แล้ว....ในส่วนของดริวก็ต้อง แสดงเป็น 3 ตัวทั้งภูวง(ซึ่งเป็นมนุษย์จริง ๆ) ภังคี และไทวัน (ซึ่งเป็นภาพมายา)แต่บุคคลิกมีทั้งดีทั้งเลวแบบสุดๆ ได้ดูดริวเป็นตั้ง 3ตัวละครคุ้มนะ คุ้มนะ 55555


ส่วนเรื่องนี้จะให้อะไรกับคนดูเหรอ
ถ้าเขียนบทดีๆ สนุกๆ ทำออกมาให้สนุก ๆก็คงได้รับความสนุกสนานจากละคร และก็คงให้เห็นว่าความดีย่อมต้องชนะความชั่วอยู่วันยังค่ำ ยังไงความดีก็อยู่เหนือความชั่วแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น